วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ดูช่วงเวลาของคุณ"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[9]

ก็อย่างที่คุณคิดเอาไว้นั่นแหละว่าเวลาของพระเยซูช่างลงตัวไปเสียหมด มันไม่เคยเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทุกอย่างมีนัยสำคัญเสมอ เพราะว่าจังหวะเวลาของพระองค์นั้นช่างวิจิตรบรรจง แต่ละกิจกรรมนั้นทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง

ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ครั้งแรกในพิธีสมรส นี่คือการประทับตราและบอกถึงความสำคัญของการแต่งงาน ช่วงเวลาของพระองค์ในการเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม การยอมให้จับตรึงกางเขน และการกลับฟื้นขึ้นมาจากความตาย (เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลหัสกา) นี่เป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดของพระองค์

ในระหว่างเทศการปัสกา ชาวยิวจากทั่วสารทิศเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นพยานถึงเหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจที่เกิดขึ้นกับพระเยซู ที่สำคัญกว่านั้นคือ หลายคนได้กลับใจจากความบาปของเขา เพราะคำเทศนาที่เร้าใจและจับใจของเปโตร และคนเหล่านี้ได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเขาในฐานะผู้กลับใจใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเปาโบและอัครทูตคนอื่นๆ เดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อประกาศเรื่องราวของพระเยซู พวกเขาพบว่าพันธมิตรเหล่านี้กำลังรอคอยและยินดีต้อนรับพวกเขา พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ในการสร้างองค์กรท้องถิ่น ช่วงเวลาอันชาญฉลาดก่อให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่

ดังนั้น ช่วงเวลาจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนบริษัท การประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญควรกระทำในช่วงเวลาที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลสูงสุด ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควรจะถูกแนะนำในโอกาสเหมาะๆ เช่น โยงมันเข้ากับการฉลองครบรอบอย่างมีนัยสำคัญและวันหยุดราชการ

ช่วงเวลาควรนำมาพิจารณาเมื่อต้องแจ้งข่าวร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งทุกองค์กรต้องทำอยู่เป็นระยะ คำถามสำหรับคุณก็คือ เมื่อไรจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการแถลงข่าวต่อสังคมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักขององค์กรน้อยที่สุด

ช่วงเวลาเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของพระเยซู คุณเองก็จงทำอย่างเดียวกัน


วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ยืนกรานในความถูกต้อง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[8]

นับจากสังฆราชผู้มีความรู้ไปจนถึงคนที่พูดว่าตนเองมีความรู้ที่ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เราได้ยินกันว่าการยืนกรานในความถูกต้องไม่อาจแก้ไขปัญหาทางด้านการเมืองได้ จากสัจธรรมไปจนถึงความยุติธรรม คนพูดกันว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกัน คุณรู้สึกอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้ พวกเขาพูดว่า  “ความคิดที่ตรงกันข้ามกันอาจจะจริงทั้งคู่ เพราะว่ามันไม่มีความจริงที่สมบูรณ์”

จงอย่าพยายามดำเนินธุรกิจของคุณด้วยความคิดที่เหลวไหลแบบนี้ พระเยซูทรงยืนกรานว่า สิ่งหนึ่งดีและอีกสิ่งหนึ่งชั่วร้าย พระองค์ทรงยืนกรานแม้กระทั่งว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับคืนดีกับพระองค์ได้ และทางเดียวนั้นก็คือการมีความเชื่อในพระองค์ พระองค์ตรัสถึงความยากลำบาก ตรัสถึงความเชื่อที่ไม่ต้องมีข้อพิสูจน์ พระเยซูไม่เคยพูดเป็นสองนัย ความจริงใจไม่มีความหมายกับพระองค์ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อนั้นไม่ถูกต้อง

การขาดความไม่แน่นอนจะนำองค์กรไปสู่ปัญหานานาประการนับตั้งแต่การลักเล็กขโมยน้อยไปจนถึงคดีอุกฉกรรมจ์ มันจะนำไปสู่ผลผลิตและการดำเนินงานที่ไร้คุณภาพ คำว่า “ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน” คือข้อแก้ตัวง่ายๆ สำหรับทุกเรื่องนับตั้งแต่การฉ้อโกงเรื่องหุ้น ไปจนถึงการเพิ่มสารนิโคตินที่เป็นอันตรายในบุหรี่ จนกระทั่งการสร้างรถยนต์ที่มีถังเชื้อเพลิงที่เป็นอันตราย

ในฐานะบริษัทและในฐานะผู้จัดการ จงสั่งสอนทางที่ถูกต้อง ยืนกรานในทางที่ถูกต้องนั้น จงเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจที่ถูกต้อง จงทำตามแบบอย่างของพระเยซู




วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"การสร้างสิทธิอำนาจ"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[7]

พระเยซูไม่ได้เป็นผู้นำองค์กรประชาธิปไตย พระองค์ไม่เคยเรียกร้องให้มีการลงมติในสิ่งที่ควรนจะปฏิบัติตาม พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบ สิทธิอำนาจของพระองค์ขึ้นอยู่กับหนังสือพระคัมภีร์และหน้าที่ที่พระองค์ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าพระบิดา แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจที่ “สูงกว่า” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42)

ขณะที่การเป็นผู้นำแบบไม่มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดกำลังใจได้รับการยกย่อง แต่ต้องไม่ลืมว่าไม่เคยมีองค์กรไหนที่ประสบความสำเร็จเอาไว้ได้โดยปราศจากสิทธิอำนาจสูงสุด ลองถามผู้นำองค์กรที่ยิ่งใหญ่ดูซิ เคยมีคนสงสัยไหมว่าใครคือเจ้านาย เมื่อไอแอคโคคาอยู่กับไครเลอร์ วัตสันอยู่กับไอบีเอ็ม เพรอทอยู่กับ EDS และบัพเฟทอยู่กับเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ แล้วใครคือนายใหญ่ของวอลมาร์ทล่ะ แน่นอนคุณต้องตอบว่า แซม วอลตัน

การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ในขอบเขตจำกัด แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่เป็นผู้ตัดสินใจตัวจริง  เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ จงทำให้แน่ใจว่าไม่มีข้อสงสัยว่าใครคือผู้กุมบังเหียนในองค์กรของคุณ จงรู้สึกขอบเขตในสิทธิอำนาจของคุณและจงใช้มัน จงสร้างและคงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ



วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ฝึกฝนการสนทนาส่วนตัว"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[6]

พระเยซูทรงสั่งสอนในทุกสถานการณ์ พระองค์พูดกับผู้ฟังที่เป็นกลุ่มใหญ่ กับคนที่มาร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ และกับคริสตจักร (ธรรมศาลา) แต่อย่างไรก็ตาม การสอนที่สำคัญและมีความหมายยิ่งของพระองค์คือ การสอนคนในกลุ่มเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนสนิทวงในอย่างเช่น เปโตร ยากอบ และยอห์น เมื่อพระองค์ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นของพระองค์โดยไม่ผิดเพี้ยน พระองค์จะใข้การสอนแบบตัวต่อตัว

น้องชายในฝ่ายโลกของพระเยซูคือยากอบ (ไม่ใช่สาวก) ไม่เข้าใจถึงความเป็นพี่น้องในฝ่ายวิญญาณ จนกระทั่งทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพัง หลังจากนั้นยากอบก็กลายมาเป็นผู้นำและผู้ดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรที่พระเยซูทรงตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มในที่สุด ยากอบก็ยอมตายเพราะความเชื่อในพระเยซู และนี่แหละคือการสอนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด

จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้นำองค์กรจะให้เวลาและคำแนะนำที่มีคุณภาพกับผู้ช่วยที่เขาไว้วางใจ แล้วผลที่จะเกิดขึ้นตามมานั้นช่างยิ่งใหญ่จริงๆ


วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"สอน สอน และสอน"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[5]

การบริการเพื่อสาธารณะมีคำพูดว่า “จงเป็นครูจงเป็นวีรบุรุษ” เราอาจจะพูดกับผู้จัดการบริษัทว่า “จงเป็นครู จงประสบความสำเร็จ” ตำนานของธุรกิจยักษ์ใหญ่นับตั้งแต่ เฮนรี่ ฟอร์ด ไปจนถึง ทอม วัตสัน และรอสส์ เพรอท คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีความอุตสาหะและเป็นครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ พวกเขาอาจจะได้รับแรงบันดาลใจนั้นมาจากพระเยซู ผู้ทรงเป็นบรมครู

พระเยซูมักถูกเรียกว่า รับไบ ซึ่งหมายถึงครู และพระองค์ทรงมั่นคงในการสอน การสั่งสอนที่ชาญฉลาดของพระองค์ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มต่างๆ ของพระคัมภีร์ใหม่ เช่นมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์น ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจของพระองค์ ความสามารถในการเป็นครูของพระองค์แสดงออกมาให้เห็นผ่านทางความสำเร็จของนักเรียนของพระองค์ สาวกของพระองค์ เมื่อพวกเขาได้สืบทอดแผนการโครงการต่างๆ ของพระองค์

ผู้นำธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ จะไม่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อสูทของนักบริหาร พวกเขาจะหาหนทางที่จะสอนให้ความรู้เรื่องธุรกิจและแนวความคิดกับคนที่อยู่รอบข้างเขา จงเป็นเหมือนพระเยซู จงเป็นครูและจงประสบความสำเร็จ



วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เติมเต็มในจุดสำคัญและกำจัดอุปสรรคทุกทาง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[4]

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งที่บริษัทของเราเคยทำคือ ไม่พยายามอย่างเต็มที่ในการค้นหาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถบรรจุลงในจุดที่สำคัญ แต่ถ้าเราดูแบบอย่างของพระเยซู เราก็คงไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้

แม้ว่าพระองค์จะมีผู้ติดตามที่ยิ่งใหญ่แล้วถึงสิบสองคน แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเห็นถึงความจำเป็นที่จะเพิ่มคนที่เก่งๆ เข้าไปในองค์กรของพระองค์อีก อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อจะได้ชายคนนี้เข้ามาอยู่กับพระองค์

ขณะที่เซาโลแห่งทาร์ซัสกำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัส พระเยซูทรงกระทำให้ชายผู้นี้ล้มลงและทำให้เขาตาบอดด้วยแสงเจิดจ้าจากท้องฟ้า พระเยซูทรงสำแดงพระองค์และบอกเซาโล (ซึ่งต่อมากลายเป็นอัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ที่มีนามว่าเปาโลหรือพอล) ว่าเขาจะต้องทำอะไร นี่ช่างเป็นการเกณฑ์คนเข้ามาทำงานอย่างอุกอาจที่สุด

ผมกล้าพูดได้ว่า การที่พระเยซูทรงนำเปาโลมาร่วมงานนั้นเป็นการจ้างงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่องค์กรของมนุษย์เคยทำ เปาโลกลายเป็นผู้บริหารงานที่นำคนมากมายมาสู่องค์กร เป็นผู้ระดมทุนสำหรับองค์กร เป็นผู้เปิดสาขาใหม่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เขาบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูได้ดียิ่งกว่าใครๆ บ่อยกว่าใครๆ และประสบความสำเร็จมากกว่าใครๆ และเขายังคงเล่าเรื่องราวดังกล่าวผ่านทางจดหมายฉบับต่างๆ ของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่

เปาโลคือสุดยอดของ “เจ้าหน้าที่คนสำคัญ และการดึงเขามาร่วมงานนั้น ได้ให้บทเรียนมากมายสำหรับเราผู้ซึ่งกำลังพยายามสร้างองค์กรในทุกวันนี้

ประการแรก เมื่อจะต้องเติมเต็มในจุดสำคัญและคุณได้พบคนที่เหมาะสมสำหรับงานนั้นแล้ว จงทำทุกอย่างเพื่อจะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ และอย่าปล่อยให้อัตราเงินเดือน กฏระเบียบหรือธรรมเนียมมาเป็นอุปสรรค ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม อย่าถามตัวเองว่า “จะทำอย่างไรที่จะได้เขามาโดยจ่ายเงินเดือนน้อยที่สุด” ในทางตรงกันข้าม จงถามตัวเองว่า “ผมจะเสนอเงินเดือนให้เขาได้มากที่สุดเท่าไรเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าผมต้องการเขามากเพียงไร” คุณไม่อาจใช้แสงสว่างจากท้องฟ้าเพื่อทำให้เขาตาบอดเหมือนที่พระเยซูทำได้ แต่คุณควรจะสะกดความคิดของเขาด้วยข้อเสนอของคุณ หากตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญ และคนๆ นี้คือคนที่เหมาะสม จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ

หากตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญและคนๆ นี้คือคนที่เหมาะสม จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ

ประการที่สอง อย่ามองข้ามคนสำคัญคนนี้เพียงเพราะกลัวว่าพนักงานเดิมจะเกิดความรู้สึก บางครั้งบริษัทของเราทำผิดพลาดที่ไม่กล้ารับผู้บริหารระดับสูง เพราะเรารู้ว่าเราจะต้องให้เขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ปัจจุบัน และเรากลัวว่าเขาจะไม่พอใจ นี่เป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้ การตัดสินใจของบริษัทไครเลอร์ในการนำ ลี ลาคอกคา มาทำงานกับบริษัท ไม่เพียงเป็นผลดีต่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อผู้บริหารที่จะสืบทอดงานต่อไปด้วย เขาได้ปกป้องไครเลอร์และทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานกับบริษัทประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

สาวกรุ่นแรกทั้งหมดของพระเยซูโดยเฉพาะเปโตร ยากอบและยอห์น (ซึ่งอยู่กับพระเยซูตั้งแต่เริ่มแรกทั้งสามคนเคยแสดงความกังวลต่อสถานภาพของตนเอง) คงจะรู้สึกไม่พอใจทั้งวิธีการเข้ามาทำงานของเปาโลและสภานภาพของเปาโลในองค์กร สาวกรุ่นแรกเหล่านี้ใช้เวลากับพระเยซูถึงสามปี เดินทางไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นของปาเลสไตน์ นอนในที่ที่พอจะหาได้ และผ่านความทุกข์ทรมานรวมทั้งการถูกจับ การถูกทรมานและการตรึงกางเขน พวกเขาน่าจะพูดว่า “ไม่เคยมีใครมาหาเราโดยบอกว่าได้เห็นแสงจากท้องฟ้า แล้วเปาโลเป็นใครกันเล่า”

แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะการทรงเรียกของพระเยซูที่ว่า “จงตามเรามา” ก็เป็นที่ประทับใจพวกเขาแล้วและมีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการได้เห็นแสงสว่างจากท้องฟ้า (นี่เป็นอีกหลักการบริหารหนึ่งที่เราได้เรียนจากพระเยซู นั่นคือเปลี่ยนแปลงวิธีการเกณฑ์คนเข้ามาทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละคนที่คุณสนใจ คำพูดง่ายๆ ว่า “จงตามเรามา” นั้นเพียงพอแล้วสำหรับเปโตรซึ่งเป็นชาวประมงผู้เรียบง่ายแห่งท้องทะเลกาลิลี แต่สำหรับคนที่มีความภาคภูมิใจ มีการศึกษาสูง และเป็นฟาริสีอย่างเปาโล การถูกทำให้ล้มลงและตาบอดด้วยแสงสว่างจากท้องฟ้า จึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น)

หลังจากข้อสงสัยและการทดสอบ ในที่สุดเปาโลก็ค่อยๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีจุดสำคัญที่จะต้องเติมเต็ม จงทำทุกอย่างด้วยวิธีการที่สง่างาม เพื่อนำคนที่ดีที่สุดเข้ามาทำงาน

ประการที่สาม พระเยซูสอนเราไม่ให้มองข้ามคู่แข่งในการค้นหาคนที่ดีที่สุด เปาโลเป็นคนที่กระตือรือร้นที่สุด เสียงดังที่สุด น่ากลัวที่สุด และเป็นคนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการต่อต้านองค์กรที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ของพระเยซู ที่จริงแล้วเขาคือคู่แข่งคนสำคัญของพระเยซู พระเยซูทรงนำเปาโลมาทำงานกับพระองค์และทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในองค์กรที่พระองค์ทรงพายามตั้งขึ้น

เมื่อคุณจ้างคนที่มีคุณภาพจากบริษัทคู่แข่ง คุณจะประสบความสำเร็จสองประการคือ ประการแรก คุณทำให้องค์กรของอคุณเข้มแข็งขึ้น และประการที่สอง คุณทำให้คู่แข่งอ่อนกำลังลง เมื่อเปาโลเข้ามาอยู่ในคริสจักร การข่มขู่คริสตจักรก็หมดไป พระเยซูทรงเป็นนักกลยุทธ์ผู้ชาญฉลาด จงเรียนจากพระองค์


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เลือกผู้ร่วมงานของคุณเอง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[3]

ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่คณะกรรมกาบริษัทและผู้ว่าจ้างคนเข้าทำงานได้กระทำคือ การเลือกผู้นำและสร้างภาระให้กับเขาด้วยพนักงานที่เขาไม่ได้เป็นผู้เลือก ไม่ว่าพนักงานเหล่านั้นจะดีเพียงไรก็ตาม ถ้าผู้นำไม่ได้เป็นผู้เลือกพนักงาน และถ้าพนักงานไม่ได้เป็นผู้เลือกผู้นำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ถ้าคุณต้องการให้ผู้จัดการทำงานให้คุณ คุณต้องให้เครื่องมือที่เหมาะสมกับเขา และจงจำไว้ว่าเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้จัดการคือคนที่จะทำงานกับเขานั่นเอง
ถ้าคุณกำลังพิจารณารับตำแหน่งบริหาร เงื่อนไขอย่างหนึ่งคือคุณต้องมีสิทธิ์ที่จะสร้างทีมของคุณเองทันที ถ้าผู้มีอำนาจเหนือคุณไม่ต้องการคุณมากพอที่จะให้โอกาสเช่นนั้นกับคุณ ก็อาจจะหมายความว่าเขาไม่ต้องการคุณมากพอที่จะให้คุณทำสิ่งที่สำคัญนั้น การบริหารงานเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพออยู่แล้วโดยไม่ต้องมีพนักงานที่ “ไม่เหมาะสม” มาเป็นตัวถ่วง แรงกดดันจากภายนอกก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือพนักงาน “ที่เหลืออยู่” ซึ่งเป็นคนที่รู้สึกว่าพวกเขาควรจะได้งานของคุณอย่างไม่ต้องสงสัย

จงจดจำแบบอย่างของพระเยซู เลือกคนใกล้ชิดของคุณและยินยอมให้คนที่คุณว่าจ้างมาทำแบบเดียวกัน

ถ้าคุณเป็นคนว่าจ้างคนอื่นมาทำงาน อย่าสร้างปัญหาด้วยการค้นหาและชักชวนคนที่คุณคิดว่าดีที่สุด แล้วพันธนาการเขาไว้ด้วยพนักงานที่เขาไม่ต้องการ และในทางกลับกันพวกพนักงานก็ไม่ต้องการเขา จงให้ผู้จัดการของคุณมีเสรีภาพในการเลือกคนสำคัญของเขา และนำคนเหล่านี้มาทดแทนคนที่จำเป็นต้องย้ายออกไป
ถ้าคุณกำลังพิจารณาตำแหน่งบริหาร อย่าทำลายชื่อเสียงและโอกาสในอนาคตของคุณด้วยการยอมรับตำแหน่งนั้น แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงพนักงานในปัจจุบัน มันไม่ค่อยได้ผล
แน่นอน พระเยซูทรงเลือกสาวกของพระองค์เองและทรงกระทำอย่างรอบคอบ เป็นความจริงที่ว่าหนึ่งในสิบสองคนนั้นทรยศพระองค์ แต่ผมก็ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการเลือกพนักงานที่ถูกต้องสัก 11 คนจากการเลือก 12 ครั้ง ผมคงจะเป็นคนที่ร่ำรวยมากและประสบความสำเร็จมากกว่าที่เป็นอยู่ ประวัติศาสตร์บอกให้เรารู้ว่าพระเยซูทรงให้ความสำคัญอย่างมากกับการเลือกสาวกและถ้าคุณเข้าใจแผนการของพระองค์ คุณก็จะรู้ว่าแม้กระทั่งยูดาสผู้ทรยศพระเยซูก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ
จงจดจำแบบอย่างของพระเยซู เลือกคนใกล้ชิดของคุณและยินยอมให้คนที่คุณว่าจ้างมาทำแบบเดียวกัน มันเป็นทางเดียวที่จะเพิ่มพูนความสำเร็จของคุณ

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

"การเตรียมพร้อม"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[2]

หากจะมองในแง่ของจักรวาล การเตรียมพร้อมของพระเยซูไม่มีจุดเริ่มต้น มันเป็นสิ่งที่มีอยู่อย่างนิรันดร แต่สำหรับในโลกนี้ พระเยซูใช้เวลาถึง 30 ปี ในการเตรียมตัวก่อนจะเริ่มต้นงานของพระองค์

ในความเป็นจริง เราไม่ต้องใช้เวลาถึง 30 ปี เพื่อวางแผน กระนั้นพระเยซูก็ยังเป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และทำให้แผนการที่วางไว้บรรลุผลสำเร็จอย่างเต็มที่ เราต้องทำในสิ่งที่มีความจำเป็นมากที่สุด นั่นก็คือการเตรียมพร้อม

ตลอด 40 ปี ในงานธุรกิจ ผมไม่ค่อยรู้ว่าตัวเองเตรียมพร้อมมากเกินไป แต่ผมมักรู้สึกว่าเตรียมพร้อมน้อยไป และความรู้สึกเหล่านี้ก็ส่งผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้น การเตรียมพร้อมไม่เต็มที่จะทำให้ได้ผลไม่เต็มที่
ความเข้าใจในพระคัมภีร์เดิมของพระเยซู เป็นรากฐานที่พระองค์ใช้ในการทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ พระองค์มีความรู้พื้นฐานในการกระทำของพระองค์ และพระองค์ก็ทรงกระทำการนั้นอย่างเฉลียวฉลาด เราเองก็ต้องทำอย่างเดียวกันหากเราต้องการประสบความสำเร็จ

คนหนุ่มสาวหลายคนมาสมัครที่บริษัทของผมซึ่งเป็นธุรกิจด้านโทรทัศน์ สำหรับธุรกิจด้านนี้ การเขียนเป็นรากฐานของทุกสิ่งทุกอย่าง หลักการหนึ่งในธุรกิจของเราบอกว่า “ถ้าคุณไม่สามารถเขียนมันลงบนกระดาษได้ คุณก็ไม่สามารถแสดงออกทางจอโทรทัศน์ได้” คนหนุ่มสาวเหล่านี้มาสมัครงานกับเรา ไม่มีความสามารถแม้กระทั่งพื้นฐานในเรื่องไวยกากรณ์ ซึ่งถือเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุดของภาษา พวกเขาไม่มีความพร้อม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จ

พระเยซูทรงสอนเราอย่างมีประสิทธิภาพในเรื่องการเตรียมพร้อม ทั้งโดยแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบของพระองค์และโดยคำสอนของพระองค์ในคำอุปมาหลายๆ ตอนพระองค์ทรงอธิบายถึงหลักการต่างๆ เพื่อเตือนสติเราให้เตรียมตัวให้พร้อมที่สุด ยกตัวอย่างคำอุปกมาเรื่องสาวพรหมจารีผู้เบาปัญญา ที่ไม่ได้เติมน้ำมันในตะเกียง เมื่อเจ้าบ่าวเดินทางมาถึง เธอจึงพลาดการเข้าร่วมพิธีสมรส สอนเราเกี่ยวกับการเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ เช่นเดียวกับคำอุปมาเรื่องทาสที่ไม่ได้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และไม่พร้อมที่จะพบหน้าเจ้านายเมื่อท่านกลับมา พวกทาสเหล่านี้คิดว่าเจ้านายคงจะจากบ้านไปนาน ดังนั้น พวกเขาจึงใช้เวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ และเมื่อเจ้านายกลับมาโดยที่พวกเขาคาดไม่ถึง พวกเขาจึงถูกลงโทษ

ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงานอาชีพ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์หรือการนำเสนอทางการตลาด การเตรียมตัวให้พร้อมเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จงเอาใจใส่และให้เวลากับมันเท่าที่จำเป็น พระเยซูทรงกระทำเช่นนั้น และความสำเร็จของพระองค์ที่ปรากฏให้เห็นก็บ่งบอกถึงความสำคัญของการเตรียมพร้อม


วันศุกร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เริ่มต้นว่ากันด้วยเรื่องของ "แผนการ"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[1]

เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่มีบริษัทเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่มีแผนแม่บทเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงาน และใช้วัดความก้าวหน้าของบริษัท แม้แต่ส่วนบุคคลก็มีเพียงไม่กี่คนที่มีแผนการสำหรับชีวิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้น ระยะกลาง หรือระยะยาว นี่ถือเป็นเรื่องที่เสียหายมากเลยทีเดียว

พระเยซูทรงมีแผนการและทรงยึดมั่นในแผ่นการนั้นอย่างเหนียวแน่น นี่คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จ พระองค์ทรงรู้ว่าพระองค์จะไปที่ไหน และพระองค์ก็ทรงไปที่นั่นไม่มีอะไรมายับยั้งพระองค์ได้ พระเยซูทรงทราบว่าแผนการของพระองค์จะสำเร็จที่กรุงเยรูซาเล็ม และแม้รู้ว่าพระองค์ต้องเสียสละอย่างมากเพื่อจะไปที่นั่น แต่พระองค์ก็มิได้ทรงย่อท้อในการมุ่งหน้าไปกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงตั้งพระทัยแน่วแน่ และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พระองค์ก็จะทรงไปที่กรุงเยรูซาเล็ม และทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จ
แผนการจะทำให้คุณสามารถควบคุมกำลังความสามารถและกิจกรรมของคุณได้

หลักการพื้นฐานของการบริหารทั้งในส่วนบุคคลและองค์กรก็คือ การมีแผนการที่คุณสามารถอุทิศตัวให้กับมันได้อย่างเต็มที่และตั้งเป้าหมายที่จะกระทำให้สำเร็จ ถ้าไม่มีแผนการคุณก็ไม่รู้ว่าจะไปไหน และไม่ได้ใช้กำลังความสามารถ หากไม่มีแผนการคุณก็ได้แค่ตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้น แผนการจะทำให้คุณสามารถควบคุมกำลังความสามารถและการกระทำของคุณได้ คุณจะกลายเป็นคนริเริ่มไม่ใช่คอยตอบสนอง



วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [11]

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

ถึงตอนนี้เราคงเข้าใจพลังของความปรารถนาและวิธีนำมันมาใช้แล้ว ถ้าคุณอยากนำพลังนี้มาใช้เพื่อสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งในชีวิตและการทำงาน คุณก็ต้องฝันให้ไกลเข้าไว้ด้วยความทะเยอะทะยาน

            บางคนอาจแย้งว่าแค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันก็ยากพอแล้ว จะให้มานั่งฝันหรือตั้งความหวังอะไรได้อีก แต่อันที่จริงแล้วคนที่เข้มแข็งมากพอจาสามารถทำให้ชีวิตเป็นแบบที่ตัวเองต้องการได้จะมีความฝันที่ทะเยอทะยาน คนเหล่านี้มักอยากได้ในสิ่งที่เอื้อมไม่ถึง ซึ่งตัวผมเองก็เป็นแบบนั้น ความฝันและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เป็นแรงผลักดันที่พาผมมาไกลได้ขนาดนี้

            อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าตอนก่อตั้งเคียวเซร่าผมตั้งใจจะสร้างบริษัทที่เป็นผู้ผลิตเซรามิกชั้นนำของโลก และผมก็เน้นย้ำความฝันนั้นให้พนักงานฟังซ้ำ       ๆ ผมไม่มีกลยุทธ์ที่จับต้องได้หรือแผนการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เรียกได้ว่าผมไม่อยู่บนโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสผมจะเล่าความฝันนั้นให้พนักงานฟัง เพื่อให้ความฝันของผมกลายเป็นความปรารถนาของพนักงานทุกคน และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง

            ไม่มีความฝันใดจะเป็นจริงได้ถ้าเราไม่เคยวาดฝัน มีแต่สิ่งที่เราอยากได้ให้เป็นจริงเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ ในที่สุดเคียวเซร่าก็กลายเป็นบริษัทชั้นนำในวงการ เพราะเรามีความปรารถนาที่รุนแรงจนซึมซาบเข้าไปในจิตใต้สำนึก ทั้งยังร่วมมือกันจนมันกลายเป็นความจริง แม้ว่าความฝันที่ยิ่งใหญต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึง แต่ถ้าเรานึกภาพความสำเร็จไว้ในหัวและจินตนาการถึงขั้นตอนสู่เป้าหมายให้ชัดเจน เราก็จะเริ่มมองเห็นวิธีไปถึงจุดนั้น เราจะค้นพบวิธีใหม่ๆ มากมายที่ช่วยให้ความฝันกลายเป็นจริง แม้ว่าทุกวันจะเจอแต่เรื่องซ้ำซากจำเจก็ตาม

            หลายครั้งเราก็ได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ โดยไม่คาดฝันในสถานการณ์ที่ดูธรรมดา เช่น ระหว่างเดินไปตามถนน พักผ่อนจิบน้ำชา หรือพูดคุยกับเพื่อน ถึงแม้แต่ละคนจะพบเจอสิ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นคำใบ้ที่ชีวิตหยิบยื่นให้ นี่คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างนักคิดผู้ยิ่งใหญ่กับคนธรรมดา มีคนมากมายที่เคยเห็นผลแอปเปิลตกจากต้นเหมือนนิวตัน แต่เขากลับเป็นคนเดียวที่ค้นพบกฏแรงดึงดูดของโลก เขาประสบความสำเร็จก็เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าในการค้นหาคำตอบ


            ผมบอกไปแล้วว่าถ้ารักษาเปลวไฟแห่งความปรารถให้โชติช่วยอยู่เสมอ เราจะได้รับแรงบันดาลใจจากสวรรค์ ซึ่งเป็นที่มาของความสำเร็จอันน่าทึ่งทั้งหลาย ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ควรหมั่นพูดถึงความฝันของตัวเอง และมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง เพราะหากปราศจากความฝันแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างสรรค์ ประสบความสำเร็จ หรือเติบโตขึ้นอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น เมื่อเราพยายามทำความฝันให้กลายเป็นจริง และไม่ลดละความพยายามในการสร้างสิ่งใหม่ ตัวตนของเราก็จะถูกขัดเกลาให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความฝันและความปรารถนาจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกความใฝ่ฝันและแรงบันดาลใจ
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ตระหนักถึงชีวิตที่ต้อง “จดจ่อ” เป็นประจำ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [10]

ตระหนักถึงชีวิตที่ต้อง “จดจ่อ” เป็นประจำ

กลุ่มบริษัทเคียวเซร่าผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารโดยใช้ลูกดรัม (หรืออุปกรณ์ทรงกระบอกที่ใช้สร้างภาพลงบนกระดาษ) ซึ่งทำจากอะมอร์ฟัสซิลิคอนที่มีความไวต่อแสง ลูกดรัมนี้มีความแข็งแรงกว่าลูกดรัมทั่วไปมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ตลอดอายุการใช้งานของเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสาร (นานกว่าลูกดรัมทั่วไปถึง 10  เท่า) มันจึงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย

            เคียวเซร่าเป็นบริษัทแรกที่ผลิตลูกดรัมชนิดนี้ได้เป็นจำนวนมาก เราจะนำแผ่นฟิล์มซิลิคอนมาติดลงบนพื้นผิวแท่งอะลูมิเนียมขัดเงา โดยต้องติดแผ่นฟิล์มเสมอกันเพื่อให้เกิดความไวต่อแสงในระดับที่ต้องการ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและทำได้ยากมาก เพราะถ้าปิดฟิล์มคลาดเคลื่อนไปแค่ 0.001 มิลลิเมตรก็ใช้ไม่ได้แล้ว หลังจากทำวิจัยและพัฒนาลูกดรัมตัวนี้ได้สามปี เราจึงสามารถทำได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถรองรับการผลิตเป็นจำนวนมากได้

            ระหว่างนั้นบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกก็กำลังทำวิจัยเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มีใครผลิตลูกดรัมดังกล่าวได้เป็นจำนวนมากเลย ผมเองก็เกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ก็ตัดสินใจลองดูเป็นครั้งสุดท้าย ผมย้อนกลับไปดูขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าหากเฝ้าดูทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เราน่าจะได้รู้ได้เห็นอะไรบางอย่าง ผมสั่งให้ทีมนักวิจัยคอยจับตาดูทุกรายละเอียดปลีกย่อยในกระบวนการผลิต ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

            จนกระทั่งแวะไปหานักวิจัยคนหนึ่งในตอนกลางคืน แล้วเห็นเขานั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ควรเฝ้าสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นโดยละเอียด แทนที่จะได้ยินเสียงของผลิตภัณฑ์ผมกลับได้ยินแต่เสียงกรน ผมจึงหาคนที่ชอบสังเกตุมาทำงานแทน นอกจากนี้ผมยังย้ายห้องทดลองของเคียวเซร่า จากเมืองคะโงะชิมะที่เมืองชิงะ รวมทั้งเปลี่ยนตัวทีมงานในตำแหน่งสำคัญๆ โดยนอกจากจะแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่แล้ว ผมยังเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานใหม่อีกหลายคน การโละทีมวิจัยที่อยู่กันมานานหลายปีเป็นเรื่องที่เสียงมากๆ แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปูทางไปสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ เพราะไม่ถึงปี เราก็สามารถผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากได้สำเร็จ ทีมงานชุดใหม่มีสิ่งที่ทีมงานชุดเก่าไม่มี นั่นคือ พวกเขารู้สึกผูกพันกับงานและตัวผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียด การอุทิศตัวและทุ่มเทแบบไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นนี้เองที่ช่วยให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เหนือชั้นขึ้นมาได้

            ในญี่ปุ่นมีคำกล่าวที่ว่า “จงรับรู้อย่างตั้งใจ” ซึ่งหมายถึงการรับรู้อย่างมีสติ โดยมีเป้าหมายและพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับกาจดจ่อ เวลาที่เราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแล้วหันไปมองโดยอัตโนมัติ นั่นคือการรับรู้อย่างไม่ตั้งใจ ในทางตรงข้ามหากรับรู้อย่างตั้งใจ เราจะพยายามจดจ่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ทีมงานของผมก็ใช้วิธีนี้ในช่วงที่เคียวเซร่าพยายามพัฒนาขั้นตอนการผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากเช่นกัน เพราะการนั่งมองสายการผลิตด้วยสายตาเหม่อลอยนั้นไม่สามารถช่วยให้เราเจอคำตอบที่มองหาอยู่ได้

            นะกะมุระ เทมปู นักปรัชญาที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตจะไร้ความหมายหากปราศจากการรับรู้อย่างตั้งใจ” สมาธิของเรามีอยู่จำกัด การจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม หากพยายามจดจ่ออยู่กับมันไปเรื่อยๆ เราก็จะค่อยๆ สร้างนิสัยของการรับรู้อย่างตั้งใจ และบ่มเพาะความสามารถในการเข้าใจแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แล้วเราก็จะมีวิจารณญาณที่แม่นยำมากขึ้นตามมา

            เมื่อก่อนหากไม่ค่อยมีเวลา ผมจะถามไถ่ความคืบหน้าของงานจากพนักงานที่เดินสวนกันตามทางหรือฝากคำแนะนำไปบอกต่อๆ กัน แต่นั่นก็สร้างปัญหาขึ้นในเวลาต่อมา เพราะพนักงานจะอ้างว่าเคยบอกบางเรื่องกับผมไปแล้ว แต่หลายครั้งเข้า ผมจึงตัดสินใจหาเวลาพูดคุยกับพวกเขาในห้องหรือตามมุมพักผ่อนเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่พวกเขาพูด


            การรับรู้อย่างตั้งใจก็เหมือนกับสว่าน ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเจาะลงไปที่จุดเดียว ถ้าเรามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว เราก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ในที่สุด ทุกความสำเร็จล้วนเป็นผลมาจากความปรารถนาที่จะให้มันเกิดขึ้น ดังนั้น เราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถรักษาระดับความปรารถนานั้นไว้ได้มากแค่ไหน และเอาจริงเอาจังกับการบรรลุเป้าหมายมากเพียงใด
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการรับรู้อย่างตั้งใจ
StorySnap

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟังเสียงของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ทำงาน

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [9]

ฟังเสียงของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ทำงาน

พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในที่ทำงานครับ อาจมีหลายครั้งที่ต่อให้พยายามแค่ไหนเราก็ยังเจอทางตันและรู้สึกหมดกำลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกสิ้นหวัง นั่นแปลว่าเรามาถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริงแล้วต่างหาก ความอับจนหนทางคือสิ่งที่เปิดโอกาสให้เราได้หยุดมองและทบทวนเหตุการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความรู้สึกของเราเอง ผมเคยพบกับนะกะโบะ โคเฮ ทนายความฝ่ายโจทก์ที่ทำคดีดังมาแล้วหลายคดี

หนึ่งในนั้นคือสารหนูปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องร้องบริษัทโมะรินกะในช่วงทศวรรษที่ 1970 และคดีทุจริตการซื้อขายทองของบริษัท โทะโยะตะ โชจิ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นเหล่านักลงทุนที่ถูกโกงเงินไปกว่าสองแสนล้านเยน เมื่อผมถามนะกะโบะว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เขาตอบว่า “กุญแจในกาไขคดีอยู่ตรงจุดเกิดเหตุนั่นละครับ เพราะพระเจ้าเองก็สถิตอยู่ที่นั่นด้วย” แม้เราจะอยู่ต่างสาขาอาชีพ แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริงสำหรับผมด้วยเช่นกัน คำพูดของนะกะโบะตอกย้ำความเชื่อของผมที่ว่า ถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เราต้องหันมาสนใจและคอยเฝ้าสังเกตความเป็นไปรอบตัว


สำหรับบริษัทผู้ผลิต นั่นหมายความว่าเราต้องประเมินทุกแง่มุมของการทำงานด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ เครื่องจักร วัตถุดิบ เครื่องมือ หรือแม้แต่ขั้นตอนการผลิต เราต้องทุ่มเททั้งกายใจเพื่อฟังเสียงของผลิตภัณฑ์หรือสถานที่ทำงานอย่างตั้งใจ แล้วคุณจะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่กระซิบบอกใบ้ว่าคุณควรทำอะไรต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าการฟังเสียงของผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์เซรามิกเกิดจากการบีบอัดผงออกไซด์ของโลหะเข้าไปในแม่พิมพ์ จากนั้นก็นำเข้าเตาแล้วเผาด้วยความร้อนสูง กระบวนการนี้คล้ายกับการผลิตเครื่องเคลือบดินเผา แต่เซรามิกต้องใช้ความแม่นยำในระดับที่สูงกว่ามาก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด หากเซรามิกผิดรูปเพียงนิดเดียวอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนั้นใช้การไม่ได้เลย ช่วงที่เคียวเซร่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เรารับงานพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกตัวใหม่ แต่ทุกครั้งที่เรานำแม่พิมพ์เข้าเตาเผา วัตถุดิบที่อยู่ข้างในจะออกมาบิดเบี้ยวไม่ได้รูป หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง เราจึงรู้ว่าวิธีที่เราใช้บีบอัดวัตถุดิบลงในแม่พิมพ์ทำให้ความหนาแน่นตรงด้านบนและด้านล่างของวัตถุดิบไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันออกมาผิดรูป แม้จะระบุสาเหตุของความผิดพลาดได้แล้ว แต่การหาวิธีทำให้วัตถุดิบมีความหนาแน่นเท่ากันทั้งชิ้นก็เป็นเรื่องยากมาก เราทดลองอยู่หลายครั้งแต่ก็คว้าน้ำเหลว ผมอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในเตาเผาเลยเปิดช่องเล็กๆ ที่เตาแล้วคอยเฝ้าสังเกต จึงได้รู้ว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น วัตถุดิบจะเริ่มบิดไปมาราวกับมีชีวิต และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ทำการเผา ผมแทบทนดูไม่ได้และอยากตะโกนออกไปว่า “เลิกบิดเดี๋ยวนี้นะ!” พลางรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้ล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบไว้แม้จะรู้ว่าอุณหภูมิข้างในเตาสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสก็ตาม ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความหมายกับผมมาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นวิศวกรที่มีหน้าที่ดูแลมันเท่านั้น แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าบริษัทจะล้มเหลวหรือขาดทุนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นที่ทำให้ผมอยากล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบก็นำไปสู่ทางออก ผมก็คิดได้ว่าควรวางวัสดุทนความร้อนทับบนวัตถุดิบก่อนจะทำการเผา ปรากฏว่าเราได้วัสดุที่เรียบไร้ที่ติเลยทีเดียว


ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าคำตอบที่กำลังมองหานั้นอยู่รอบตัวเราแล้ว แต่เราต้องมีแรงปรารถนาและความมุ่งมั่นในสิ่งที่กำลังทำมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งยังต้องคอยเฝ้าสังเกตด้วยความคิดที่ปลอดโปร่งและที่อดทน คำตอบจึงจะปรากฏขึ้นมา เราจะได้ยินว่าผลิตภัณฑ์อยากบอกอะไรก็ต่อเมื่อใช้หูและหัวใจรับฟังมันพร้อมกับจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา

ผมรู้ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติมาก แต่จากประสบการณ์ของผม สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจอย่างผลิตภัณฑ์หรือห้องทำงานสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกในก้นบึ้งของจิตใจและความกระหายใคร่รู้ของเราได้ โดยจะลุกขึ้นมาพูดกับเราด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน และเมื่อมันโต้ตอบกับหัวใจของเรา เราก็จะมองเห็นเส้นทางสู่จุดหมาย ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตก็คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เฉียบคมและสมบูรณ์แบบนั่นเอง
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการใส่ใจและการเฝ้าสังเกต
StorySnap

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

สร้างสรรค์สิ่งใหม่ทุกวัน เพื่อความก้าวหน้าครั้งใหญ่

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [8]

สร้างสรรค์สิ่งใหม่ทุกวัน เพื่อความก้าวหน้าครั้งใหญ่

คนฉลาดไม่ค่อยทำให้ผมประทับใจเท่าไหร่ เพราะพวกเขาไม่ค่อยสนใจปัจจุบัน สติปัญญาอันหลักแหลมทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองคาดการณ์อนาคตได้ คนเหล่านี้จึงไม่ต่างกับกระต่ายที่คอยแต่จะหาทางลัดไปสู่จุดหมาย ทั้งที่ควรใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างช้าๆ และมั่นคงเหมือนกับเต่า การรีบก้าวเท้าไปสู่ความสำเร็จทำให้พวกเขาสะดุดล้มอยู่บ่อยครั้ง คนเก่งๆ มากมายเริ่มงานกับเคียวเซร่าแล้วด่วนลาออกไปเพราะคิดว่าบริษัทแห่งนี้ไร้อนาคต จึงเหลือเพียงคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องจนเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ แต่หลายครั้งผมกลับพบว่า คนคิดอะไรช้าๆ นี่แหละที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารองค์กรเมื่อเวลาผ่านไปสัก 10 หรือ 20 ปี
            คนธรรมดาจะกลายเป็นคนพิเศษก็ต่อเมื่อพวกเขามุมานะโดยไม่ปริปากบ่น ไม่ถอดใจยอมแพ้ และพยายามทำแต่ละวันให้ดีที่สุดอยู่เสมอ คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ สามารถทำความฝันให้กลายเป็นจริงด้วยการลงมือทำไปทีละขั้นทุกวันโดยไม่มองหาทางลัด
            การพยายามอย่างไม่ลดละนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การทำอย่างต่อเนื่องกับการทำซ้ำซากนั้นแตกต่างกัน แทนที่จะทำเรื่องที่เคยทำไปเมื่อวานโดยไม่คิด เราควรหาทางทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิมและเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นด้วย นี่เป็นทัศนคติที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ในฐานะวิศวกร ผมมักคอยถามตัวเองว่าผลงานของเราดีพอแล้วหรือมันยังดีกว่านี้ได้อีก ผมเชื่อว่า ถ้าคุณมองสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยมุมมองแบบเดียวกับผม แม้แต่งานที่ดูธรรมดาที่สุดก็อาจเปิดโอกาสให้คุณใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
            ผมขอยกตัวอย่างงานทำความสะอาดก็แล้วกัน ลองคิดดูว่าแทนที่จะใช้ไม้กวาดอย่างที่ทำอยู่ มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้คุณทำความสะอาดได้ดีและเร็วกว่าเดิม คุณอาจลองเปลี่ยนมาใช้ไม้ถูพื้นหรือซื้อเครื่องดูดฝุ่น ไม่ก็อาจลองวิธีอื่นๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้จะเป็นแค่งานเล็กๆ น้อยๆ แต่เราจะเห็นว่าคนที่ทำงานประเภทนี้มีอยู่สองประเภทคือ คนที่ทำงานด้วยความปรารถนาที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นกับคนที่ไม่กระตือรือร้นเอาเสียเลย ในระยะยาวแล้วคนที่คิดหาวิธีใหม่ๆ อยู่เสมอจะได้ก่อตั้งบริษัททำความสะอาดเป็นของตัวเอง ส่วนคนที่ทำงานแค่พอให้เสร็จไปวันๆ โดยไม่หาทางปรับปรุงให้ดีขึ้นจะยังเป็นคนทำความสะอาดอยู่เหมือนเดิม
            สุดท้ายแล้วการพยายามปรับปรุงเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละวันจะก่อให้เกิดความแตกต่างอันใหญ่หลวง เพราะกุญแจสู่ความสำเร็จก็คือ อย่าเอาแต่ใช้เส้นทางเดิมที่คุณเคยเดินอยู่เสมอ
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ เช่นเคยค่ะ

แด่ทุกการสร้างสรรค์
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ความพยายามทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [7]

ความพยายามทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ

มุระกะมิ คะซุโอะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยทสึคุบะและผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ ได้อธิบายถึงพลัง "เหนือมนุษย์" ที่เรางัดออกมาใช้ในสถานการณืคับขันว่า มันเป็นพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน แต่ยีนที่ควบคุมถูกปิดสวิตซ์ไว้และหลับใหลอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดสวิตซ์ขึ้นมา เราจะสามารถนำพลังดังกล่าวมาใช้ได้แม้แต่ในสถานการณ์ปกติ เขายังบอกด้วยว่า การคิดบวกและทัศนคติที่ดีจะช่วยปลุกพลังแฝงที่หลับใหลอยู่ภายในตัวเราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยทางพันธุศาสตร์ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ทัศนคติมีพลังมหาศาลในการเพิ่มพูนศักยภาพของมนุษย์

            แล้วศักยภาพของเราคืออะไรล่ะ หากมองในแง่พันธุศาสตร์ ทุกสิ่งที่เราวาดฝันและต้องการล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถ “ในการทำให้ความปรารถนาเป็นจริง” แต่เราต้อง “พยายาม” ไปให้ถึงเป้าหมายด้วย ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมายสูงๆ เพียงอย่างเดียว

            ตอนที่เคียวเซร่ายังเป็นแค่โรงงานเล็กๆ ที่มีคนงานไม่ถึงร้อยคน ผมประกาศว่าในอนาคตบริษัทจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ผมไม่คิดว่ามันเป็นความฝันที่เลื่อนลอย แต่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องทำให้สำเร็จ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะแหงนหน้ามองสูงแค่ไหน เท้าของเราก็ยังต้องติดดินอยู่เสมอ พูดง่ายๆ ก็คือ จงตั้งความหวังและความฝันให้สูงเข้าไว้ ทุ่มเทความพยายามกับงานที่ทำอยู่ทุกวัน แก้ปัญหาไปทีละอย่าง และก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่ยืนอยู่เมื่อวาน

            หลายครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเคียวเซร่าจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้จริงหรือ ผมรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างความฝันกับความจริงที่ห่างไกลกันเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม ชีวิตคือ “ผลรวมของสิ่งที่เราทำได้ในแต่ละวัน” โดยเวลาแต่ละวินาทีจะรวมกันเป็นหนึ่งวัน แต่ละวันจะรวมกันเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี พอรู้ตัวอีกทีเราก็มาถึงจุดสูงสุดที่เคยมองว่าไกลเกินเอื้อมแล้ว นี่ล่ะครับคือชีวิต

            ต่อให้เราเตรียมตัวต้อนรับอนาคตมากแค่ไหน อนาคตที่ว่าก็คงไม่มาถึงถ้าเราไม่ใช้ชีวิตในวันนี้เสียก่อน ไม่มีทางลัดใดนำเราไปสู่จุดหมายที่วาดภาพไว้ในหัวได้ เราต้องเดินไปบนเส้นทางอันยาวไกลทีละก้าวฉันใด เราก็ต้องมุ่งหน้าไปสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ทีละน้อยฉันนั้น หากเราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเต็มที่ แทนที่จะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า วันพรุ่งนี้ก็จะมาถึงในที่สุด และถ้าพยายามทำวันต่อๆ ไปให้ดี เราก็จะเริ่มมองเห็นสัปดาห์ต่อไปใกล้เข้ามา และเมื่อใช้ชีวิตสัปดห์นั้นให้เต็มที่ เราจะเริ่มมองเห็นเดือนต่อไป ถ้าเราทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีให้กับทุกชั่วขณะของชีวิตแทนที่จะเอาแต่ก้าวพรวดๆ ไปข้างหน้า อนาคตก็จะปรากฏให้เห็นโดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่มันจะมาถึงเสียที


            ผมทำแบบนี้กับทุกเรื่องในชีวิต ผมจะก้าวช้าๆ อย่างมั่นคงให้เหมือนเต่าที่เอาชนะกระต่ายได้ในที่สุด การทุ่มเทอย่างต่อเนื่องให้กับสิ่งที่ทำคือปัจจัยที่ผลักดันเคียวเซร่าให้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ และเปลี่ยนวิศวกรตัวเล็กๆ ให้กลายเป็นนักธุรกิจที่ผู้คนนับหน้าถือตา เมื่อเทียบกันแล้ว แทนที่จะเสียเวลาไปกับการกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้หรือคิดแต่จะคาดเดาอนาคต คุณควรทุ่มเทให้กับทุกวินาทีของชีวิต นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความฝันให้เป็นจริง
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่

แด่ทุกความพยายามและความใฝ่ฝัน
StorySnap

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้


เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [6]

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้

คนที่เสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ แล้วประสบความสำเร็จคือคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง ศักยภาพหมายถึง “ความสามารถในอนาคต” กล่าวคือ ถ้าประเมินความสามารถของตัวเองด้วยสิ่งที่ทำในปัจจุบัน เราจะไม่มีวันทำสิ่งใหม่หรือเอาชนะความท้าทายที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่ถ้าเราเชื่อในศักยภาพที่มีแล้ววางเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อย ตลอดจนรักษาระดับความปรารถนาให้โชติช่วง เราก็จะประสบความสำเร็จและขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองได้
            ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้าง เมื่อไอบีเอ็มสั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์จำนวนมากจากเคียวเซร่าเป็นครั้งราก เราก็พบว่าแบบของสินค้าที่สั่งมานั้นละเอียดยิบย่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติแล้วรายละเอียดของชิ้นส่วนที่สั่งผลิตในยุคนั้นจะอยู่ในรูปของภาพวาดแค่ภาพเดียว แต่ชิ้นส่วนที่ไอบีเอ็มอยากได้มีรายละเอียดยาวเหยียดจนน่าจะรวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย เราพยายามทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการอยู่หลายครั้ง แต่ตัวอย่างสินค้าก็ถูกตีกลับตลอด เวลาที่ทำสำเร็จเราจะคิดว่าครั้งนี้ได้แน่ๆ แต่พอเสนอไปก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม
            นอกจากข้อกำหนดของไอบีเอ็มจะเข้มงวดกว่าที่เคยเจอมาหลายเท่าตัวแล้ว บริษัทของเรายังขาดแคลนเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลงานที่ดีในระดับที่ไอบีเอ็มต้องการด้วยหลายครั้งผมแอบคิดว่าเราไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอจะรับงานนี้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก นี่เป็นโอกาสทองที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างชื่อเสียงมากขึ้นผมจึงกระตุ้นพนักงานที่กำลังท้อแท้ให้กลับมามีกำลังใจและทุ่มเทให้กับโครงการนี้โดยใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่มี แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีพอ หลังจากทำทุกวิถีทางแล้ว ผมก็เอ่ยถามคนที่รับผิดชอบงานว่า “คุณสวดภาพนาแล้วหรือยัง” เพราะเราทำหมดทุกอย่างที่ทำได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอมติจากสวรรค์เท่านั้น
            ด้วยความเพียรพยายามระดับเหนือมนุษย์ ในที่สุดเราก็พัฒนาสินค้าที่ “เฉียบคม” ตรงตามข้อกำหนดของไอบีเอ็มได้สำเร็จ จากนั้นจึงดำเนินการผลิตเต็มกำลังเป็นเวลาสองปี เพื่อจัดส่งชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลให้ตรงตามเวลา ขณะมองดูรถบรรทุกขนสินค้าเที่ยวสุดท้ายออกไปผมก็ตระหนักได้ว่า “มนุษย์เรามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด” ถ้าทุ่มเทแรงใจให้เป้าหมายที่ดูเป็นไปไม่ได้และมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ เราก็จะขยายขีดความสามารถออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความอุตสาหะจะปลุกพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เบ่งบาน สิ่งสำคัญคือต้องมองไปยังอนาคต ถึงตอนนี้จะทำบางอย่างไม่ได้ แต่ในอนาคตต้องทำได้แน่ เราต้องเชื่อว่ามีพลังบางอย่างหลับใหลอยู่ในตัวเราซึ่งยังไม่ถูกนำออกมาใช้
            ตอนที่ผมตัดสินใจรับงานจากไอบีเอ็มในนามของเคียวเซร่า ผมรู้อยู่แล้วว่าบริษัทของเรายังขาดเทคโนโลยีและทักษะที่จำเป็น ถ้ามองในมุมนนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็ดูจะบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย แต่นั่นคือแนวทางในการทำธุรกิจของผมครับ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ก่อตั้งบริษัท ผมมักรับงานที่บรรดาผู้ผลิตรายใหญ่บอกปัดเพราะคิดว่ายากเกินไป เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่บริษัทเล็กๆ อย่างเราจะได้งาน แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะทำได้สำเร็จ เพราะขนาดบริษัทยักใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยียังบอกว่ามันยากเกินไป แต่ผมไม่เคยพูดว่าทำไม่ได้ แม้แต่คำว่าน่าจะทำได้ก็ไม่เคยพูด ประโยคที่ผมพูดอยู่เสมอคือ เราทำได้
            เมื่อใดก็ตามที่ผมประกาศว่าจะทำโครงการใหม่ คนในบริษัทจะแสดงสีหน้าวิตกกังวลให้เห็นทันที แต่ผมก็มักหว่านล้อมให้พวกเขาเชื่อว่าเราทำได้ ทั้งยังแนะนำวิธีการให้ด้วย ผมจะอธิบายถึงผลดีที่บริษัทจะได้รับจากโครงการนี้ เพราะผมหวังว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความท้าทายกันอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกเขาเจออุปสรรค ผมจะบอกว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นเพียงการหยุดพักหนึ่งครั้งบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ ผมรู้ว่าเราไปต่อได้ถ้าทุ่มเททุกอย่างที่มีและยึดมั่นในจุดหมายไปตลอดรอดฝั่ง”

            บางทีการบอกลูกค้าว่าเราสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจดูเหมือนการโกหก แต่เมื่อเราเริ่มต้นจากจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้และลงมือทำอย่างจริงจัง จนไม่เหลืออะไรให้ทำอีกนอกจากรอมติสวรรค์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนคำสัญญาที่ดูเลื่อนลอยนั้นให้กลายเป็นจริง การคิดถึงความสามารถของตัวเองในอนาคตช่วยให้ผมทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำเร็จถึงสามในสี่ครั้งเลยทีเดียว
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
StorySnap
Welcome all reader. :)

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย (ต่อ)

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [ุ6]


ความรู้สึกนึกคิดคือตัวกำหนดชะตากรรม

...โชคดีที่ผมรักษาตัวจนหายดีและกลับไปเรียนได้ตามปกติ แต่ความล้มเหลวอื่นๆ ก็ยังตามรังควานอย่างต่อเนื่อง ผมสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า แม้ว่าในท้ายที่สุดผมจะจบจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นและมีผลการเรียนที่ดี แต่จู่ๆ ญี่ปุ่นก็ประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเฉียบพลันเนื่องจากมีการสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ไปใช้ในสงครามเกาหลีน้อยลง ผมไม่มมีเส้นสายและต้องเตะฝุ่นหางานไปเรื่อยๆ เพราะมีบริษัทไม่กี่แห่งที่รับนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ในชนบท ผมจึงได้แต่สาปแช่งโชคชะตาอันเลวร้ายและก่นด่าโลกที่ไม่ยุติธรรม
            ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงโชคร้ายนัก หากต่อแถวซื้อลอตเตอรี่ ผมคงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกรางวัลแน่นอน ในเมื่อทำอะไรก็ล้มเหลวแล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร ความคิดของผมมีแต่เรื่องเลวร้ายมากขึ้น อันที่จริงผมพอมีฝีมือด้านคาราเต้อยู่บ้าง จึงเริ่มคิดว่าจะเข้าแก๊งยากูซ่าให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมถึงขั้นไปยืนแกร่วอยู่หน้าสำนักงานของแก๊งเลยด้วยซ้ำ
            แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ท่านหนึ่ง สุดท้ายผมก็ได้งานที่บริษัทเซรามิกแห่งหนึ่งในเกียวโต แต่บริษัทจวนจะล้มละลายเต็มที ทำให้จ่ายค่าจ้างช้ากว่ากำหนดเป็นประจำ แถมพวกผู้จัดการยังชอบทะเลาะกันเองอีก ถึงผมจะงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่สภาพแวดล้อมกลับบั่นทอนกำลังใจ เวลาพนักงานใหม่อย่างเราบังเอิญเจอกัน เราก็เอาแต่พร่ำบ่นและพูดเรื่องลาออก ในที่สุดเพื่อนร่วมงานก็ทยอยลาออกไปทีละคน จนกระทั่งเหลือผมอยู่คนเดียว
            เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดคิดเรื่องแย่ๆ เอาไว้ก่อน เพราะต่อให้พร่ำบ่นแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองที่มีต่องานโดนสิ้นเชิง ผมขลุกอยู่กับการวิจัย ยอมทำงานหนักเท่าที่จะทำได้ ผมถึงกับเอาหม้อหุงต้มมาไว้ที่ห้องแล็บเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านเลยด้วยซ้ำ วิธีนี้ช่วยให้ผมทุ่มเทเวลาให้กับการทดลองได้อย่างเต็มที่
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเริ่มสะท้อนออกมาในงานที่ทำ ผมได้รับคำชมจากเจ้านาย ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากทำงานให้หนักกว่าเดิม ผลงานที่ออกมาจึงยิ่งดีขึ้นไปอีก สุดท้ายผมก็สามารถสังเคราะห์เซรามิกเนื้อละเอียดสำหรับทำหลอดภาพโทรทัศน์ได้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากกระบวนการที่ผมคิดค้นขึ้นเอง ซึ่งนั่นทำให้ผมได้รับการยอมรับจากเจ้านายยิ่งไปกว่าเดิมอีก ตอนนี้เองที่ผมค้นพบว่างานที่ทำก็น่าสนใจและมีความหมายเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าจะได้เงินเดือนตรงเวลาหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะที่ผมพัฒนาขึ้นจากการทำงาน (ที่ผมเคยเกลียดในตอนแรก) ก็กลายเป็นสิ่งที่ช่วยปูเส้นทางสู่ความสำเร็จให้เคียวเซร่าในเวลาต่อมา
            หลังจากเปลี่ยนทัศนคติ ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ผมทำลายวงจรอุบาทว์แล้วเข้าสู่วงจรแห่งความดีงามแทน ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าโชคชะตาของเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้แบบตายตัว เราสามารถเลือกได้เองว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ความยากลำบากที่ต้องเผชิญในวัยหนุ่มทำให้ผมตระหนักถึงหลักการพื้นฐานที่ว่า ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นที่มาของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เหตุการณ์ต่างๆ ล้วนงอกเงยขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ แม้กระทั่งคนที่เชื่อว่าการกระทำเป็นตัวลิขิตโชคชะตาก็ยังมีชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ตามภาพที่พวกเขาวาดไว้ในหัว

            “โชคชะตา” นั้นมีอยู่จริงครับ แต่มันไม่ได้ถูกกำหนดไว้แต่อย่างใด เราจึงสามารถใช้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตได้ อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ ชาวญี่ปุ่นเรียกแนวคิดนี้ว่า “ริตสึเม” หรือการวางเส้นทางชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เราเป็นคนวาดภาพลงบนผืนผ้าใบแห่งชีวิตด้วยตัวเอง โดยใช้ความคิดเป็นตัวแต่งแต้มสีสัน ดังนั้น คุณจึงสามารถกำหนดสีสันของชีวิตได้ด้วยภาพในหัวคุณ
.
.
.
แด่ทัศนคติและมุมมอง
StorySnap

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [5]

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

ถึงตอนนี้ ผมได้แบ่งปันหลักการพื้นฐานในการดำเนินชีวิตกับคุณไปแล้วหนึ่งข้อ  นั่นคือ ความคิดเปลี่ยนชีวิตเราได้ อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ความล้มเหลวและความยากลำบากที่เกิดขึ้นซ้ำๆ สมัยยังหนุ่ม ทุกอย่างที่ผมคิดว่าจะผิดพลาดก็มักผิดพลาดจริงๆ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงไม่เคยเป็นไปตามที่หวังเลย ผมรู้สึกเหมือนคนโชคร้ายที่ถูกพระเจ้าหรือโชคชะตาทอดทิ้ง ได้แต่ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆ โดยไม่มีความสุขกับอะไรสักอย่าง ไม่นานผมก็กลายเป็นคนขมขื่นและรู้สึกแค้นเคืองโลกทั้งใบ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ผมก็เริ่มเข้าใจว่าต้นเหตุของความทุกข์ยากทั้งหมดคือความรู้สึกนึกคิดของผมเอง
                ผมเผชิญกับความล้มเหลวเป็นครั้งแรกมเมื่อสอบเข้าเรียนมัธยมต้นไม่ติด ซ้ำร้ายหมอยังวินิจฉัยว่าผมติดเชื้อวัณโรคอีก สมัยนั้นยังไม่มีวิธีรักษาวัณโรค และมันก็ได้คร่าชีวิตญาติผู้ใหญ่ ในครอบครัวของผมไปแล้วถึงสามคน ผมคิดในใจว่า “ไม่นานฉันคงอ้วกเป็นเลือดแล้วตายไปเหมือนกัน” ช่วงนั้นผมมีไข้ต่ำๆ และเอาแต่นอนอยู่บนเตียง จมอยู่กับความรู้สึกไร้ค่าและสิ้นหวัง
                เพื่อนบ้านคนหนึ่งคงรู้สึกเห็นใจ จึงให้ผมยืมหนังสือชื่อ เซเม โนะ จิสโซ ที่เขียนโดยทะนิกุจิ มะซะฮะรุ ผู้ก่อตั้งกลุ่มสัจธรรมแห่งชีวิต (เซโช โนะ อิเอะ) แม้เนื้อหาจะเข้าใจยากอยู่สักหน่อย แต่ตอนนั้นผมกำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงรีบพลิกอ่านอย่างกระตือรือร้น พออ่านจบผมก็พบว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีแม่เหล็กที่คอยดึงดูดเคราะห์ร้ายเข้ามานั่นเอง
                ผมรู้สึกทึ่งกับแนวคิดดังกล่าว ทะนิกุจิอธิบายว่าทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตล้านเกิดขึ้นเพราะแรงดึงดูดจากความรู้สึกนึกคิด ความเจ็บป่วยก็เช่นกัน ถึงจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ตอน่านผมกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้พูดถูก ตอนคุณปู่ของผมเป็นวัณโรค ท่านพักอยู่ในตึกซึ่งอยู่ติดกับบ้านที่ผมอยู่ ครอบครัวผมจึงคอยดูแลท่าน แต่ผมกลัวติดโรคมากถึงขนาดกลั้นหายใจวิ่งทุกครั้งที่ต้องผ่านตึกนั้น ขณะที่พ่อผมไปดูแลคุณปู่ด้วยตัวเอง แม้แต่พี่ชายของผมก็ดูจะไม่ห่วงเรื่องนี้เลย เขายังบอกด้วยว่าวัณโรคไม่ได้ติดต่อกันง่ายขนาดนั้น ผมจึงเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ยอมไปหาคุณปู่ และก็เป็นคนเดียวที่ติดเชื้อวัณโรคในเวลาต่อมา
                บางทีผมคงถูกลงโทษที่รังเกียจและพยายามหลีกหนีจากวัณโรคสุดชีวิต ความคิดและพฤติกรรมดังกล่าวจึงยิ่งดึงดูดโชคร้ายเข้ามา ผมติดเชื้อก็เพราะกลัว ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าการนึกถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาจริงๆ ข้อความที่ทะนิกุจิเขียนไว้ทำให้ผมตระหนักว่าภาพในหัวสามารถเป็นจริงได้ พอได้มองย้อนถึงสิ่งที่ทำลงไป ผมก็สัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนวิธีคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และผมก็มักลื่นไถลออกนอกเส้นทางของการคิดบวกอยู่บ่อยครั้ง
.....
(ติดตามได้ในบทความต่อไปค่ะ)

StorySnap




วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

ความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมพร้อมและการวางแผนอย่างรอบคอบ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [4]

ความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมพร้อมและการวางแผนอย่างรอบคอบ

เมื่อพยายามทำเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน คุณย่อมได้ยินเสียงคัดค้าน แต่ถ้าคุณตั้งใจสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะทำสำเร็จและมองเห็นภาพความสำเร็จได้อย่างชัดเจน คุณก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าและคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้ในที่สุด ความคิดของคุณควรอยู่บนพื้นฐานของ “การมองโลกในแง่ดี” อย่างเด็ดเดี่ยว จึงเป็นเรื่องดีไม่น้อยถ้ามีคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่รอบตัวเพื่อช่วยกระตุ้นให้จินตนาการของคุณโลดแล่น
                ในช่วงที่ดีดีไอเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ทุกครั้งที่เกิดแรงบันดาลใจ ผมจะเรียกกลุ่มผู้บริหารมาขอความเห็นเสมอ แต่ผมกลับค้นพบว่ายิ่งพวกเขาจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งทำตัวเฉยชาและตำหนิว่าผมคิดไม่รอบคอบมากเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ถ้าเราได้รับแต่คำคัดค้านทุกครั้งที่คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าความคิดนั้นจะดีแค่ไหนก็ต้องตกไปเป็นธรรมดา และสิ่งที่เป็นไปได้ก็จะดูเป็นไปไม่ได้ในที่สุด
                พอเจอเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเข้า ผมจึงตัดสินใจเสนอความคิดกับคนอีกกลุ่มแทน โดยหันไปหาคนที่เปิดใจรับฟังความคิดเหนของผมอย่างกระตือรือร้น โดยไม่เอาแต่วิเคราะห์วิจารณ์งานใหม่ๆ ด้วยสายตาของคนมองโลกในแง่ร้ายที่ขี้ระแวง (ถึงข้อเสนอของผมอาจยังมีช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดอยู่บ้างก็เถอะ) เมื่อคุณกำลังคิดอะไรใหม่ๆ การอยู่ท่ามกลางคนที่มองโลกในแง่ดีก็ดูเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า
                อย่างไรก็ตาม การมองโลกในแง่ดีจะใช้ได้ผลเฉพาะในช่วงที่เริ่มคิดอะไรใหม่ๆ เท่านั้น เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวางแผน คุณจะต้องทำให้ความคิดของคุณจับต้องได้และมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน คุณต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงอย่างรอบคอบ จากนั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการลงมือทำ คุณค่อยกลับมามองทุกอย่างในแง่ดีแล้วเดินหน้าทำสิ่งนั้นด้วยความมั่นใจ สรุปก็คือ “ในการเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นความจริง เราต้องเริ่มจากการมองโลกในแง่ดี วางแผนด้วยการมองโลกในแง่ร้าย และลงมือทำด้วยการมองโลกในแง่ดี”
                ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับโอบะ มิตสึโร นักสำรวจที่ดีทางข้ามขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เพียงลำพังได้สำเร็จเป็นคนแรก และเขาก็เล่าถึงตอนที่เตรียมตัวออกเดินทาง ตอนนั้นโอบะมาที่บริษัทเคียวเซร่าเพื่อขอบคุณผม เนื่องจากทางบริษัทได้มอบอุปกรณ์หลายอย่างให้กับเขา ผมจึงกล่าวชื่นชมที่เขากล้าไปผจญภัยทามกลางอันตราย แต่โอบะกลับดูอึดอัดใจ “จริงๆ แล้วผมไม่ได้กล้าหาญอะไรเลย” เขาบอก “ผมขี้ขลาดจะตายไป แต่เพราะกลัวผมเลยเตรียมพร้อมอยู่เสมอ นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมคราวนี้ผมถึงทำสำเร็จได้อีกครั้ง ถ้านักผจญภัยมีแค่ความกล้าหาญแต่ขาดความรอบคอบก็คงไม่รอดชีวิตกลับมาแน่
                พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าสาขาอาชีพไหน คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่เข้าใจความจริงของชีวิตอย่างถ่องแท้ ถ้าคนเรากล้าหาญเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความกลัว ความระมัดระวัง หรือความละเอียดถี่ถ้วนเลย มันก็เป็นแค่ความใจกล้าบ้าบิ่นเท่านั้น
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ


แด่ทุกการเตรียมพร้อม
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ความฝันเป็นจริงได้เมื่อคุณมองเห็นมันในทุกรายละเอียด


เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [3]


ความฝันเป็นจริงได้เมื่อคุณมองเห็นมันในทุกรายละเอียด

หากต้องการบรรลุเป้าหมายเรื่องงานหรือเรื่องใดๆ ก็ตามในชีวิต เราควรพยายามบรรลุเป้าหมายนั้นในแง่มุมที่ดีที่สุดเสมอ โดยพยายามจดจ่ออยู่กับมันจนถึงขั้นที่สามารถนึกภาพขึ้นมาในหัวได้ นี่เป็นกระบวนการสำคัญในการเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริง เพราะเมื่อเราตั้งเป้าหมายไว้สูงและพยายาม ทำให้ภาพในอุดมคติกลายเป็นจริง  เมื่อนั้นเราก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ เป้าหมายที่มีภาพชัดเจนในหัวตั้งแต่แรกจะให้ผลลัพธ์ที่เฉียบคมจนบาดมือได้ ในทางตรงข้าม หากเราไม่สามารถนึกภาพเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ต่อให้เราทำสำเร็จผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่เฉียบคม ซึ่งในชีวิตผมก็เจอเรื่องแบบนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                ตอนที่บริษัทดีดีไอ (ปัจจุบันคือเคดีดีไอ) ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ผมประกาศต่อหน้าผู้บริหารทุกคนว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคแห่งโทรศัพท์มือถือ และในอนาคตอันใกล้ทุกคนจะสื่อสารกันได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังยืนยันด้วยว่าผู้คนทุกเพศทุกวันจะมีเบอร์โทรศัพท์เป็นของตัวเอง ถึงแม้ผู้บริหารคนอื่นๆ จะส่ายหัวและพากันหัวเราะเพราะไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริง แต่ตอนนั้นผมมองเห็นภาพชัดเจนเลยว่า อุปกรณ์ที่มีศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดอย่างโทรศัพท์มือถือจะแพร่หลายได้อย่างไรและรวดเร็วแค่ไหน จริงๆ แล้วผมถึงขั้นมองเห็นราคา ขนาดเครื่อง กลยุทธ์การตลาด และช่องทางจัดจำหน่ายเลยด้วยซำ
                เนื่องจากผมเคยทำงานในธุรกิจผลิตตัวนำไฟฟ้าและกลุ่มกิจการอื่นๆ ของเคียวเซ่า จึงได้เห็นว่าเทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วแค่ไหน ทั้งในแง่ของขนาดและราคาสินค้า ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมมีความรู้มากพอจะคาดการณ์ขยายตัวของตลาดโทรศัพท์มือถือได้อย่างแม่นยำ อันที่จริงผมไม่ได้คาดการณ์แค่เรื่องขนาดของตลาด แต่ยังประเมินอัตราค่าบริการในอนาคตเอาไว้ด้วย ในระหว่างการประชุมครั้งนั้น ผู้จัดการทั่วไปของดีดีไอได้บันทึกคำคาดการณ์ของผมเอาไว้ด้วย ต่อเมื่อเราเปิดตัวธุรกิจโทรศัพท์มือถือจริงๆ เขาก็ย้อนไปดูบันทึกและค้นพบเรื่องอัศจรรย์ เพราะอัตราค่าบริการของเราแทบจะตรงกับที่ผมเคยคาดไว้ไม่มีผิด
                ในการกำหนดราคาสินค้า ปกติแล้วเราต้องนำปัจจัยต่างๆ มาคำนวนอย่างละเอียด เช่น ความสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน จุดคุ้มทุน ฯลฯ แต่ผมสามารถมองเห็นภาพค่าบริการได้ก่อนหน้าที่การคำนวณใดๆ จะเริ่มขึ้นเสียอีก ผู้จัดการทั่วไปถึงกับตกตะลึงกับความแม่นยำของผม นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการจินตนาการ คุณจะสามารถบรรลุทุกสิ่งที่คุณนึกภาพได้อย่างชัดเจน พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกอย่างที่เรามองเห็นในหัว เราย่อมทำได้ แต่ถ้าเรามองไม่เห็นก็ทำไมได้ ดังนั้น หากต้องการผลลัพธ์บางอย่าง คุณก็ต้องจดจ่ออยู่กับมันจนกลายเป็นความปรารถนาอันแรงกล้า และเมื่อนั้นคุณจะ “มองเห็น” ภาพความสำเร็จอย่างชัดเจน
                ความจริงที่ว่าเราสามารถปรารถนาจะเป็นบางอย่างหรือทำบางสิ่งให้สำเร็จถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า เรามีความสามารถในการทำฝันให้กลายเป็นจริงติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะส่วนใหญ่แล้วเราคงไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ดังนั้น หากคุณหลับตาแล้วสามารถนึกภาพตัวเองบรรลุเป้าหมายได้อย่างชัดเจน คุณก็น่าจะสามารถทำสำเร็จได้จริงๆ
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

แด่ทุกๆความฝัน

StorySnap


วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

นึกภาพการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจนสุดๆ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [2]

หัวข้อเรื่อง "นึกภาพการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจนสุดๆ"

การอ้างว่าความปรารถนาเป็นจุดกำเนิดของความสำเร็จอาจฟังดูไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์ จนหลายคนมองว่าเป็นแค่เรื่องหลอกลวงและเลือกที่จะมองข้ามไป แต่ประสบการณ์สอนผมว่า หากหมั่นนึกถึงความคิดใดๆ ก็ตามอยู่ตลอด ผมจะสามารถ “มองเห็น” ผลลัพธ์ของมันได้อย่างชัดเจน
                ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตล้วนเริ่มต้นจากการอยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง ผมจึงลองนึกถึงสิ่งที่อยากทำและจัดลำดับขั้นตอนในการทำให้มันสำเร็จ โดยมองหาหนทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้วนึกภาพขึ้นมาในหัวเหมือนนักหมากรุกที่คำนวณการเดินหมากล่วงหน้าไว้เป็นหมื่นๆ แบบ ผมจะคิดถึงขั้นตอนทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ตัดกลยุทธ์ที่เห็นว่าไม่ได้ผลออกไป แล้วปรับเปลี่ยนแผนใหม่อยู่เสมอ นั่นทำให้ผมเริ่ม “มองเห็น” เส้นทางสู่ความสำเร็จได้อย่างชัดเจนราวกับเคยเดินผ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เคยเป็เพียงความฝันจะเริ่มเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที จนในที่สุดทั้งงสองอย่างก็มาบรรจบกัน ผมสามารถวาดภาพความสำเร็จในหัวได้เป็นฉากๆ ผมเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นภาพสีคมชัด ไม่ใช่แค่ภาพขาวดำธรรมดา กระบวนการที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับเทคนิคการฝึกด้วยจินตนาการในแวดวงกีฬา โดยภาพความคิดนั้นจะชัดเจนมากจนนักกีฬาเห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้าจริงๆ
                ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่นึกถึงผลลัพธ์ที่ต้องการตลอดเวลา ไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้า และไม่วาดภาพในหัวอย่างชัดเจน เราก็แทบไม่มีหวังที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ผลงานหรือเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ผมจะพูดถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เป็นตัวอย่างนะครับ ปกติแล้วสินค้านั้นควรมีลักษณะเฉพาะและมีคุณสมบัติการใช้งานแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่เดิม ถ้าไม่มีการค้นหาสุดยอดคุณสมบัติระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้าที่ออกมาจะด้อยคุณภาพ ต่อให้มันตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ก็ตาม หากสินค้าถูกพัฒนาขึ้นตามมาตรฐาน “ทั่วไป” มันก็ย่อมดีไม่พอที่จะเจาะตลาดในวงกว้างได้
                เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักวิจัยคนหนึ่งของบริษัท ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เขาใช้เวลาเป็นเดือนๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา แต่พอเขานำมาเสนอ ผมมองแค่ปราดเดียวก็พูดว่า “ยังไม่ดีพอ”
                “หมายความว่าไงครับ” เขาถาม “ผมทำตามที่ลูกค้าต้องการทุกอย่างแล้วนะ”
                “ผมว่ามันควรจะดีกว่านี้” ผมบอกเขา “สีดูจืดชืดไปหน่อย”
                “ทำไมทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้” เขาโต้กลับ “คุณเป็นวิศวกรนะ น่าจะรู้ว่าเรื่องสีไม่สำคัญสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม เกณฑ์การประเมินของคุณไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย”
                “คุณจะว่าผมไร้เหตุผลก็ได้ แต่มันยังไม่เหมือนที่ผมคิดไว้” ผมยืนกรานให้เขากลับไปลองทำใหม่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เขาโมโหมากขนาดไหนที่โดนปฏิเสธผลงานซึ่งอุตส่าห์ทุ่มเททำมา แต่ที่ผมปฏิเสธก็เพราะผลงานของเขายังไม่ตรงกับภาพในหัวผม สุดท้ายเขากับทีมงานก็สามารถสร้างสินค้าในฝันได้สำเร็จหลังจากพยายามแก้ไขกันอยู่หลายรอบ

                พ่อแม่ของผมชอบใช้คำว่า “เฉียบคมจนบาดมือได้” เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่ประณีตมากจนหาข้อผิดพลาดไม่เจอ เมื่อสินค้าได้รับการพัฒนาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ มันจะดูน่าตื่นตาตื่นใจเสียจนเราแทบไม่กล้าแตะต้อง ดังนั้น หากอยากสร้างสรรค์ผลิตภัฑ์ให้ไปถึงจุดสูงสุดก็อย่ามัวแต่ออมแรง จงออกตามหาความสมบูรณ์แบบนั้นให้เต็มที่
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

แด่ทุกเป้าหมายอันดี

StorySnap