วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้


เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [6]

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้

คนที่เสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ แล้วประสบความสำเร็จคือคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง ศักยภาพหมายถึง “ความสามารถในอนาคต” กล่าวคือ ถ้าประเมินความสามารถของตัวเองด้วยสิ่งที่ทำในปัจจุบัน เราจะไม่มีวันทำสิ่งใหม่หรือเอาชนะความท้าทายที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่ถ้าเราเชื่อในศักยภาพที่มีแล้ววางเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อย ตลอดจนรักษาระดับความปรารถนาให้โชติช่วง เราก็จะประสบความสำเร็จและขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองได้
            ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้าง เมื่อไอบีเอ็มสั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์จำนวนมากจากเคียวเซร่าเป็นครั้งราก เราก็พบว่าแบบของสินค้าที่สั่งมานั้นละเอียดยิบย่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติแล้วรายละเอียดของชิ้นส่วนที่สั่งผลิตในยุคนั้นจะอยู่ในรูปของภาพวาดแค่ภาพเดียว แต่ชิ้นส่วนที่ไอบีเอ็มอยากได้มีรายละเอียดยาวเหยียดจนน่าจะรวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย เราพยายามทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการอยู่หลายครั้ง แต่ตัวอย่างสินค้าก็ถูกตีกลับตลอด เวลาที่ทำสำเร็จเราจะคิดว่าครั้งนี้ได้แน่ๆ แต่พอเสนอไปก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม
            นอกจากข้อกำหนดของไอบีเอ็มจะเข้มงวดกว่าที่เคยเจอมาหลายเท่าตัวแล้ว บริษัทของเรายังขาดแคลนเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลงานที่ดีในระดับที่ไอบีเอ็มต้องการด้วยหลายครั้งผมแอบคิดว่าเราไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอจะรับงานนี้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก นี่เป็นโอกาสทองที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างชื่อเสียงมากขึ้นผมจึงกระตุ้นพนักงานที่กำลังท้อแท้ให้กลับมามีกำลังใจและทุ่มเทให้กับโครงการนี้โดยใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่มี แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีพอ หลังจากทำทุกวิถีทางแล้ว ผมก็เอ่ยถามคนที่รับผิดชอบงานว่า “คุณสวดภาพนาแล้วหรือยัง” เพราะเราทำหมดทุกอย่างที่ทำได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอมติจากสวรรค์เท่านั้น
            ด้วยความเพียรพยายามระดับเหนือมนุษย์ ในที่สุดเราก็พัฒนาสินค้าที่ “เฉียบคม” ตรงตามข้อกำหนดของไอบีเอ็มได้สำเร็จ จากนั้นจึงดำเนินการผลิตเต็มกำลังเป็นเวลาสองปี เพื่อจัดส่งชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลให้ตรงตามเวลา ขณะมองดูรถบรรทุกขนสินค้าเที่ยวสุดท้ายออกไปผมก็ตระหนักได้ว่า “มนุษย์เรามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด” ถ้าทุ่มเทแรงใจให้เป้าหมายที่ดูเป็นไปไม่ได้และมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ เราก็จะขยายขีดความสามารถออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความอุตสาหะจะปลุกพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เบ่งบาน สิ่งสำคัญคือต้องมองไปยังอนาคต ถึงตอนนี้จะทำบางอย่างไม่ได้ แต่ในอนาคตต้องทำได้แน่ เราต้องเชื่อว่ามีพลังบางอย่างหลับใหลอยู่ในตัวเราซึ่งยังไม่ถูกนำออกมาใช้
            ตอนที่ผมตัดสินใจรับงานจากไอบีเอ็มในนามของเคียวเซร่า ผมรู้อยู่แล้วว่าบริษัทของเรายังขาดเทคโนโลยีและทักษะที่จำเป็น ถ้ามองในมุมนนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็ดูจะบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย แต่นั่นคือแนวทางในการทำธุรกิจของผมครับ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ก่อตั้งบริษัท ผมมักรับงานที่บรรดาผู้ผลิตรายใหญ่บอกปัดเพราะคิดว่ายากเกินไป เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่บริษัทเล็กๆ อย่างเราจะได้งาน แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะทำได้สำเร็จ เพราะขนาดบริษัทยักใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยียังบอกว่ามันยากเกินไป แต่ผมไม่เคยพูดว่าทำไม่ได้ แม้แต่คำว่าน่าจะทำได้ก็ไม่เคยพูด ประโยคที่ผมพูดอยู่เสมอคือ เราทำได้
            เมื่อใดก็ตามที่ผมประกาศว่าจะทำโครงการใหม่ คนในบริษัทจะแสดงสีหน้าวิตกกังวลให้เห็นทันที แต่ผมก็มักหว่านล้อมให้พวกเขาเชื่อว่าเราทำได้ ทั้งยังแนะนำวิธีการให้ด้วย ผมจะอธิบายถึงผลดีที่บริษัทจะได้รับจากโครงการนี้ เพราะผมหวังว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความท้าทายกันอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกเขาเจออุปสรรค ผมจะบอกว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นเพียงการหยุดพักหนึ่งครั้งบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ ผมรู้ว่าเราไปต่อได้ถ้าทุ่มเททุกอย่างที่มีและยึดมั่นในจุดหมายไปตลอดรอดฝั่ง”

            บางทีการบอกลูกค้าว่าเราสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจดูเหมือนการโกหก แต่เมื่อเราเริ่มต้นจากจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้และลงมือทำอย่างจริงจัง จนไม่เหลืออะไรให้ทำอีกนอกจากรอมติสวรรค์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนคำสัญญาที่ดูเลื่อนลอยนั้นให้กลายเป็นจริง การคิดถึงความสามารถของตัวเองในอนาคตช่วยให้ผมทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำเร็จถึงสามในสี่ครั้งเลยทีเดียว
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
StorySnap
Welcome all reader. :)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น