เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [6]
สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้
คนที่เสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ
แล้วประสบความสำเร็จคือคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง
ศักยภาพหมายถึง “ความสามารถในอนาคต” กล่าวคือ
ถ้าประเมินความสามารถของตัวเองด้วยสิ่งที่ทำในปัจจุบัน
เราจะไม่มีวันทำสิ่งใหม่หรือเอาชนะความท้าทายที่เข้ามาในชีวิตได้
แต่ถ้าเราเชื่อในศักยภาพที่มีแล้ววางเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อย
ตลอดจนรักษาระดับความปรารถนาให้โชติช่วง
เราก็จะประสบความสำเร็จและขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองได้
ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้าง
เมื่อไอบีเอ็มสั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์จำนวนมากจากเคียวเซร่าเป็นครั้งราก
เราก็พบว่าแบบของสินค้าที่สั่งมานั้นละเอียดยิบย่อยอย่างไม่น่าเชื่อ
ปกติแล้วรายละเอียดของชิ้นส่วนที่สั่งผลิตในยุคนั้นจะอยู่ในรูปของภาพวาดแค่ภาพเดียว
แต่ชิ้นส่วนที่ไอบีเอ็มอยากได้มีรายละเอียดยาวเหยียดจนน่าจะรวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย
เราพยายามทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการอยู่หลายครั้ง แต่ตัวอย่างสินค้าก็ถูกตีกลับตลอด
เวลาที่ทำสำเร็จเราจะคิดว่าครั้งนี้ได้แน่ๆ แต่พอเสนอไปก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม
นอกจากข้อกำหนดของไอบีเอ็มจะเข้มงวดกว่าที่เคยเจอมาหลายเท่าตัวแล้ว
บริษัทของเรายังขาดแคลนเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลงานที่ดีในระดับที่ไอบีเอ็มต้องการด้วยหลายครั้งผมแอบคิดว่าเราไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอจะรับงานนี้ด้วยซ้ำ
แต่สำหรับบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก นี่เป็นโอกาสทองที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ
และสร้างชื่อเสียงมากขึ้นผมจึงกระตุ้นพนักงานที่กำลังท้อแท้ให้กลับมามีกำลังใจและทุ่มเทให้กับโครงการนี้โดยใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่มี
แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีพอ หลังจากทำทุกวิถีทางแล้ว
ผมก็เอ่ยถามคนที่รับผิดชอบงานว่า “คุณสวดภาพนาแล้วหรือยัง”
เพราะเราทำหมดทุกอย่างที่ทำได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอมติจากสวรรค์เท่านั้น
ด้วยความเพียรพยายามระดับเหนือมนุษย์
ในที่สุดเราก็พัฒนาสินค้าที่ “เฉียบคม” ตรงตามข้อกำหนดของไอบีเอ็มได้สำเร็จ
จากนั้นจึงดำเนินการผลิตเต็มกำลังเป็นเวลาสองปี เพื่อจัดส่งชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลให้ตรงตามเวลา
ขณะมองดูรถบรรทุกขนสินค้าเที่ยวสุดท้ายออกไปผมก็ตระหนักได้ว่า
“มนุษย์เรามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด” ถ้าทุ่มเทแรงใจให้เป้าหมายที่ดูเป็นไปไม่ได้และมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ
เราก็จะขยายขีดความสามารถออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์
ความอุตสาหะจะปลุกพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เบ่งบาน
สิ่งสำคัญคือต้องมองไปยังอนาคต ถึงตอนนี้จะทำบางอย่างไม่ได้
แต่ในอนาคตต้องทำได้แน่ เราต้องเชื่อว่ามีพลังบางอย่างหลับใหลอยู่ในตัวเราซึ่งยังไม่ถูกนำออกมาใช้
ตอนที่ผมตัดสินใจรับงานจากไอบีเอ็มในนามของเคียวเซร่า
ผมรู้อยู่แล้วว่าบริษัทของเรายังขาดเทคโนโลยีและทักษะที่จำเป็น
ถ้ามองในมุมนนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็ดูจะบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย
แต่นั่นคือแนวทางในการทำธุรกิจของผมครับ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ก่อตั้งบริษัท
ผมมักรับงานที่บรรดาผู้ผลิตรายใหญ่บอกปัดเพราะคิดว่ายากเกินไป เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่บริษัทเล็กๆ
อย่างเราจะได้งาน แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะทำได้สำเร็จ
เพราะขนาดบริษัทยักใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยียังบอกว่ามันยากเกินไป
แต่ผมไม่เคยพูดว่าทำไม่ได้ แม้แต่คำว่าน่าจะทำได้ก็ไม่เคยพูด ประโยคที่ผมพูดอยู่เสมอคือ
เราทำได้
เมื่อใดก็ตามที่ผมประกาศว่าจะทำโครงการใหม่
คนในบริษัทจะแสดงสีหน้าวิตกกังวลให้เห็นทันที
แต่ผมก็มักหว่านล้อมให้พวกเขาเชื่อว่าเราทำได้ ทั้งยังแนะนำวิธีการให้ด้วย
ผมจะอธิบายถึงผลดีที่บริษัทจะได้รับจากโครงการนี้
เพราะผมหวังว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความท้าทายกันอย่างกระตือรือร้น
เมื่อพวกเขาเจออุปสรรค ผมจะบอกว่า
“สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นเพียงการหยุดพักหนึ่งครั้งบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ
ผมรู้ว่าเราไปต่อได้ถ้าทุ่มเททุกอย่างที่มีและยึดมั่นในจุดหมายไปตลอดรอดฝั่ง”
บางทีการบอกลูกค้าว่าเราสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจดูเหมือนการโกหก
แต่เมื่อเราเริ่มต้นจากจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้และลงมือทำอย่างจริงจัง
จนไม่เหลืออะไรให้ทำอีกนอกจากรอมติสวรรค์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนคำสัญญาที่ดูเลื่อนลอยนั้นให้กลายเป็นจริง
การคิดถึงความสามารถของตัวเองในอนาคตช่วยให้ผมทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำเร็จถึงสามในสี่ครั้งเลยทีเดียว
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
StorySnap
Welcome all reader. :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น