ฟังเสียงของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ทำงาน
พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในที่ทำงานครับ อาจมีหลายครั้งที่ต่อให้พยายามแค่ไหนเราก็ยังเจอทางตันและรู้สึกหมดกำลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกสิ้นหวัง นั่นแปลว่าเรามาถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริงแล้วต่างหาก ความอับจนหนทางคือสิ่งที่เปิดโอกาสให้เราได้หยุดมองและทบทวนเหตุการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความรู้สึกของเราเอง ผมเคยพบกับนะกะโบะ โคเฮ ทนายความฝ่ายโจทก์ที่ทำคดีดังมาแล้วหลายคดี
หนึ่งในนั้นคือสารหนูปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องร้องบริษัทโมะรินกะในช่วงทศวรรษที่ 1970 และคดีทุจริตการซื้อขายทองของบริษัท โทะโยะตะ โชจิ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นเหล่านักลงทุนที่ถูกโกงเงินไปกว่าสองแสนล้านเยน เมื่อผมถามนะกะโบะว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เขาตอบว่า “กุญแจในกาไขคดีอยู่ตรงจุดเกิดเหตุนั่นละครับ เพราะพระเจ้าเองก็สถิตอยู่ที่นั่นด้วย” แม้เราจะอยู่ต่างสาขาอาชีพ แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริงสำหรับผมด้วยเช่นกัน คำพูดของนะกะโบะตอกย้ำความเชื่อของผมที่ว่า ถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เราต้องหันมาสนใจและคอยเฝ้าสังเกตความเป็นไปรอบตัว
สำหรับบริษัทผู้ผลิต นั่นหมายความว่าเราต้องประเมินทุกแง่มุมของการทำงานด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ เครื่องจักร วัตถุดิบ เครื่องมือ หรือแม้แต่ขั้นตอนการผลิต เราต้องทุ่มเททั้งกายใจเพื่อฟังเสียงของผลิตภัณฑ์หรือสถานที่ทำงานอย่างตั้งใจ แล้วคุณจะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่กระซิบบอกใบ้ว่าคุณควรทำอะไรต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าการฟังเสียงของผลิตภัณฑ์
ผลิตภัณฑ์เซรามิกเกิดจากการบีบอัดผงออกไซด์ของโลหะเข้าไปในแม่พิมพ์ จากนั้นก็นำเข้าเตาแล้วเผาด้วยความร้อนสูง กระบวนการนี้คล้ายกับการผลิตเครื่องเคลือบดินเผา แต่เซรามิกต้องใช้ความแม่นยำในระดับที่สูงกว่ามาก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด หากเซรามิกผิดรูปเพียงนิดเดียวอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนั้นใช้การไม่ได้เลย ช่วงที่เคียวเซร่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เรารับงานพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกตัวใหม่ แต่ทุกครั้งที่เรานำแม่พิมพ์เข้าเตาเผา วัตถุดิบที่อยู่ข้างในจะออกมาบิดเบี้ยวไม่ได้รูป หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง เราจึงรู้ว่าวิธีที่เราใช้บีบอัดวัตถุดิบลงในแม่พิมพ์ทำให้ความหนาแน่นตรงด้านบนและด้านล่างของวัตถุดิบไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันออกมาผิดรูป แม้จะระบุสาเหตุของความผิดพลาดได้แล้ว แต่การหาวิธีทำให้วัตถุดิบมีความหนาแน่นเท่ากันทั้งชิ้นก็เป็นเรื่องยากมาก เราทดลองอยู่หลายครั้งแต่ก็คว้าน้ำเหลว ผมอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในเตาเผาเลยเปิดช่องเล็กๆ ที่เตาแล้วคอยเฝ้าสังเกต จึงได้รู้ว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น วัตถุดิบจะเริ่มบิดไปมาราวกับมีชีวิต และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ทำการเผา ผมแทบทนดูไม่ได้และอยากตะโกนออกไปว่า “เลิกบิดเดี๋ยวนี้นะ!” พลางรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้ล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบไว้แม้จะรู้ว่าอุณหภูมิข้างในเตาสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสก็ตาม ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความหมายกับผมมาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นวิศวกรที่มีหน้าที่ดูแลมันเท่านั้น แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าบริษัทจะล้มเหลวหรือขาดทุนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นที่ทำให้ผมอยากล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบก็นำไปสู่ทางออก ผมก็คิดได้ว่าควรวางวัสดุทนความร้อนทับบนวัตถุดิบก่อนจะทำการเผา ปรากฏว่าเราได้วัสดุที่เรียบไร้ที่ติเลยทีเดียว
ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าคำตอบที่กำลังมองหานั้นอยู่รอบตัวเราแล้ว แต่เราต้องมีแรงปรารถนาและความมุ่งมั่นในสิ่งที่กำลังทำมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งยังต้องคอยเฝ้าสังเกตด้วยความคิดที่ปลอดโปร่งและที่อดทน คำตอบจึงจะปรากฏขึ้นมา เราจะได้ยินว่าผลิตภัณฑ์อยากบอกอะไรก็ต่อเมื่อใช้หูและหัวใจรับฟังมันพร้อมกับจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา
ผมรู้ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติมาก แต่จากประสบการณ์ของผม สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจอย่างผลิตภัณฑ์หรือห้องทำงานสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกในก้นบึ้งของจิตใจและความกระหายใคร่รู้ของเราได้ โดยจะลุกขึ้นมาพูดกับเราด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน และเมื่อมันโต้ตอบกับหัวใจของเรา เราก็จะมองเห็นเส้นทางสู่จุดหมาย ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตก็คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เฉียบคมและสมบูรณ์แบบนั่นเอง
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการใส่ใจและการเฝ้าสังเกต
StorySnap
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น