เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [2]
หัวข้อเรื่อง "นึกภาพการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจนสุดๆ"
การอ้างว่าความปรารถนาเป็นจุดกำเนิดของความสำเร็จอาจฟังดูไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์
จนหลายคนมองว่าเป็นแค่เรื่องหลอกลวงและเลือกที่จะมองข้ามไป แต่ประสบการณ์สอนผมว่า หากหมั่นนึกถึงความคิดใดๆ
ก็ตามอยู่ตลอด ผมจะสามารถ “มองเห็น” ผลลัพธ์ของมันได้อย่างชัดเจน
ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตล้วนเริ่มต้นจากการอยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง
ผมจึงลองนึกถึงสิ่งที่อยากทำและจัดลำดับขั้นตอนในการทำให้มันสำเร็จ
โดยมองหาหนทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้วนึกภาพขึ้นมาในหัวเหมือนนักหมากรุกที่คำนวณการเดินหมากล่วงหน้าไว้เป็นหมื่นๆ
แบบ ผมจะคิดถึงขั้นตอนทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ตัดกลยุทธ์ที่เห็นว่าไม่ได้ผลออกไป
แล้วปรับเปลี่ยนแผนใหม่อยู่เสมอ นั่นทำให้ผมเริ่ม “มองเห็น”
เส้นทางสู่ความสำเร็จได้อย่างชัดเจนราวกับเคยเดินผ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว
สิ่งที่เคยเป็เพียงความฝันจะเริ่มเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที
จนในที่สุดทั้งงสองอย่างก็มาบรรจบกัน ผมสามารถวาดภาพความสำเร็จในหัวได้เป็นฉากๆ
ผมเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นภาพสีคมชัด ไม่ใช่แค่ภาพขาวดำธรรมดา
กระบวนการที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับเทคนิคการฝึกด้วยจินตนาการในแวดวงกีฬา
โดยภาพความคิดนั้นจะชัดเจนมากจนนักกีฬาเห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้าจริงๆ
ในทางกลับกัน
ถ้าเราไม่นึกถึงผลลัพธ์ที่ต้องการตลอดเวลา ไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้า
และไม่วาดภาพในหัวอย่างชัดเจน
เราก็แทบไม่มีหวังที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ผลงานหรือเป้าหมายใดๆ
ในชีวิต ผมจะพูดถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เป็นตัวอย่างนะครับ ปกติแล้วสินค้านั้นควรมีลักษณะเฉพาะและมีคุณสมบัติการใช้งานแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่เดิม
ถ้าไม่มีการค้นหาสุดยอดคุณสมบัติระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์
สินค้าที่ออกมาจะด้อยคุณภาพ ต่อให้มันตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ก็ตาม หากสินค้าถูกพัฒนาขึ้นตามมาตรฐาน
“ทั่วไป” มันก็ย่อมดีไม่พอที่จะเจาะตลาดในวงกว้างได้
เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักวิจัยคนหนึ่งของบริษัท
ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เขาใช้เวลาเป็นเดือนๆ
พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา แต่พอเขานำมาเสนอ ผมมองแค่ปราดเดียวก็พูดว่า
“ยังไม่ดีพอ”
“หมายความว่าไงครับ”
เขาถาม “ผมทำตามที่ลูกค้าต้องการทุกอย่างแล้วนะ”
“ผมว่ามันควรจะดีกว่านี้”
ผมบอกเขา “สีดูจืดชืดไปหน่อย”
“ทำไมทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้”
เขาโต้กลับ “คุณเป็นวิศวกรนะ น่าจะรู้ว่าเรื่องสีไม่สำคัญสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม
เกณฑ์การประเมินของคุณไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย”
“คุณจะว่าผมไร้เหตุผลก็ได้
แต่มันยังไม่เหมือนที่ผมคิดไว้” ผมยืนกรานให้เขากลับไปลองทำใหม่
ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เขาโมโหมากขนาดไหนที่โดนปฏิเสธผลงานซึ่งอุตส่าห์ทุ่มเททำมา
แต่ที่ผมปฏิเสธก็เพราะผลงานของเขายังไม่ตรงกับภาพในหัวผม
สุดท้ายเขากับทีมงานก็สามารถสร้างสินค้าในฝันได้สำเร็จหลังจากพยายามแก้ไขกันอยู่หลายรอบ
พ่อแม่ของผมชอบใช้คำว่า
“เฉียบคมจนบาดมือได้” เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่ประณีตมากจนหาข้อผิดพลาดไม่เจอ
เมื่อสินค้าได้รับการพัฒนาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ มันจะดูน่าตื่นตาตื่นใจเสียจนเราแทบไม่กล้าแตะต้อง
ดังนั้น หากอยากสร้างสรรค์ผลิตภัฑ์ให้ไปถึงจุดสูงสุดก็อย่ามัวแต่ออมแรง
จงออกตามหาความสมบูรณ์แบบนั้นให้เต็มที่
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
แด่ทุกเป้าหมายอันดี
StorySnap
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น