เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [10]
ตระหนักถึงชีวิตที่ต้อง “จดจ่อ”
เป็นประจำ
กลุ่มบริษัทเคียวเซร่าผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารโดยใช้ลูกดรัม
(หรืออุปกรณ์ทรงกระบอกที่ใช้สร้างภาพลงบนกระดาษ) ซึ่งทำจากอะมอร์ฟัสซิลิคอนที่มีความไวต่อแสง
ลูกดรัมนี้มีความแข็งแรงกว่าลูกดรัมทั่วไปมาก
โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ตลอดอายุการใช้งานของเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสาร
(นานกว่าลูกดรัมทั่วไปถึง 10 เท่า)
มันจึงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย
เคียวเซร่าเป็นบริษัทแรกที่ผลิตลูกดรัมชนิดนี้ได้เป็นจำนวนมาก
เราจะนำแผ่นฟิล์มซิลิคอนมาติดลงบนพื้นผิวแท่งอะลูมิเนียมขัดเงา
โดยต้องติดแผ่นฟิล์มเสมอกันเพื่อให้เกิดความไวต่อแสงในระดับที่ต้องการ
ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและทำได้ยากมาก เพราะถ้าปิดฟิล์มคลาดเคลื่อนไปแค่ 0.001
มิลลิเมตรก็ใช้ไม่ได้แล้ว หลังจากทำวิจัยและพัฒนาลูกดรัมตัวนี้ได้สามปี
เราจึงสามารถทำได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถรองรับการผลิตเป็นจำนวนมากได้
ระหว่างนั้นบริษัทอื่นๆ
ทั่วโลกก็กำลังทำวิจัยเรื่องนี้เช่นกัน
แต่ไม่มีใครผลิตลูกดรัมดังกล่าวได้เป็นจำนวนมากเลย ผมเองก็เกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว
แต่ก็ตัดสินใจลองดูเป็นครั้งสุดท้าย
ผมย้อนกลับไปดูขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง
เพราะมั่นใจว่าหากเฝ้าดูทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เราน่าจะได้รู้ได้เห็นอะไรบางอย่าง
ผมสั่งให้ทีมนักวิจัยคอยจับตาดูทุกรายละเอียดปลีกย่อยในกระบวนการผลิต
ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม
จนกระทั่งแวะไปหานักวิจัยคนหนึ่งในตอนกลางคืน
แล้วเห็นเขานั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ ทั้งๆ
ที่ควรเฝ้าสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
แทนที่จะได้ยินเสียงของผลิตภัณฑ์ผมกลับได้ยินแต่เสียงกรน
ผมจึงหาคนที่ชอบสังเกตุมาทำงานแทน นอกจากนี้ผมยังย้ายห้องทดลองของเคียวเซร่า
จากเมืองคะโงะชิมะที่เมืองชิงะ รวมทั้งเปลี่ยนตัวทีมงานในตำแหน่งสำคัญๆ
โดยนอกจากจะแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่แล้ว ผมยังเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานใหม่อีกหลายคน
การโละทีมวิจัยที่อยู่กันมานานหลายปีเป็นเรื่องที่เสียงมากๆ
แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปูทางไปสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ เพราะไม่ถึงปี
เราก็สามารถผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากได้สำเร็จ ทีมงานชุดใหม่มีสิ่งที่ทีมงานชุดเก่าไม่มี
นั่นคือ พวกเขารู้สึกผูกพันกับงานและตัวผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง
ทั้งยังเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียด
การอุทิศตัวและทุ่มเทแบบไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นนี้เองที่ช่วยให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ
ที่เหนือชั้นขึ้นมาได้
ในญี่ปุ่นมีคำกล่าวที่ว่า
“จงรับรู้อย่างตั้งใจ” ซึ่งหมายถึงการรับรู้อย่างมีสติ
โดยมีเป้าหมายและพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับกาจดจ่อ
เวลาที่เราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแล้วหันไปมองโดยอัตโนมัติ
นั่นคือการรับรู้อย่างไม่ตั้งใจ ในทางตรงข้ามหากรับรู้อย่างตั้งใจ เราจะพยายามจดจ่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม
ทีมงานของผมก็ใช้วิธีนี้ในช่วงที่เคียวเซร่าพยายามพัฒนาขั้นตอนการผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากเช่นกัน
เพราะการนั่งมองสายการผลิตด้วยสายตาเหม่อลอยนั้นไม่สามารถช่วยให้เราเจอคำตอบที่มองหาอยู่ได้
นะกะมุระ
เทมปู นักปรัชญาที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เคยกล่าวไว้ว่า
“ชีวิตจะไร้ความหมายหากปราศจากการรับรู้อย่างตั้งใจ” สมาธิของเรามีอยู่จำกัด
การจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม
หากพยายามจดจ่ออยู่กับมันไปเรื่อยๆ เราก็จะค่อยๆ สร้างนิสัยของการรับรู้อย่างตั้งใจ
และบ่มเพาะความสามารถในการเข้าใจแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แล้วเราก็จะมีวิจารณญาณที่แม่นยำมากขึ้นตามมา
เมื่อก่อนหากไม่ค่อยมีเวลา
ผมจะถามไถ่ความคืบหน้าของงานจากพนักงานที่เดินสวนกันตามทางหรือฝากคำแนะนำไปบอกต่อๆ
กัน แต่นั่นก็สร้างปัญหาขึ้นในเวลาต่อมา
เพราะพนักงานจะอ้างว่าเคยบอกบางเรื่องกับผมไปแล้ว แต่หลายครั้งเข้า
ผมจึงตัดสินใจหาเวลาพูดคุยกับพวกเขาในห้องหรือตามมุมพักผ่อนเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่พวกเขาพูด
การรับรู้อย่างตั้งใจก็เหมือนกับสว่าน
ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเจาะลงไปที่จุดเดียว
ถ้าเรามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว
เราก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ในที่สุด
ทุกความสำเร็จล้วนเป็นผลมาจากความปรารถนาที่จะให้มันเกิดขึ้น ดังนั้น
เราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถรักษาระดับความปรารถนานั้นไว้ได้มากแค่ไหน
และเอาจริงเอาจังกับการบรรลุเป้าหมายมากเพียงใด
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการรับรู้อย่างตั้งใจ
StorySnap
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น