เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [ุ6]
ความรู้สึกนึกคิดคือตัวกำหนดชะตากรรม
...โชคดีที่ผมรักษาตัวจนหายดีและกลับไปเรียนได้ตามปกติ
แต่ความล้มเหลวอื่นๆ ก็ยังตามรังควานอย่างต่อเนื่อง
ผมสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า แม้ว่าในท้ายที่สุดผมจะจบจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นและมีผลการเรียนที่ดี
แต่จู่ๆ
ญี่ปุ่นก็ประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเฉียบพลันเนื่องจากมีการสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ไปใช้ในสงครามเกาหลีน้อยลง
ผมไม่มมีเส้นสายและต้องเตะฝุ่นหางานไปเรื่อยๆ
เพราะมีบริษัทไม่กี่แห่งที่รับนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ในชนบท ผมจึงได้แต่สาปแช่งโชคชะตาอันเลวร้ายและก่นด่าโลกที่ไม่ยุติธรรม
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงโชคร้ายนัก
หากต่อแถวซื้อลอตเตอรี่ ผมคงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกรางวัลแน่นอน
ในเมื่อทำอะไรก็ล้มเหลวแล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร
ความคิดของผมมีแต่เรื่องเลวร้ายมากขึ้น อันที่จริงผมพอมีฝีมือด้านคาราเต้อยู่บ้าง
จึงเริ่มคิดว่าจะเข้าแก๊งยากูซ่าให้รู้แล้วรู้รอดไป
ผมถึงขั้นไปยืนแกร่วอยู่หน้าสำนักงานของแก๊งเลยด้วยซ้ำ
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ท่านหนึ่ง
สุดท้ายผมก็ได้งานที่บริษัทเซรามิกแห่งหนึ่งในเกียวโต แต่บริษัทจวนจะล้มละลายเต็มที
ทำให้จ่ายค่าจ้างช้ากว่ากำหนดเป็นประจำ แถมพวกผู้จัดการยังชอบทะเลาะกันเองอีก
ถึงผมจะงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่สภาพแวดล้อมกลับบั่นทอนกำลังใจ
เวลาพนักงานใหม่อย่างเราบังเอิญเจอกัน เราก็เอาแต่พร่ำบ่นและพูดเรื่องลาออก
ในที่สุดเพื่อนร่วมงานก็ทยอยลาออกไปทีละคน จนกระทั่งเหลือผมอยู่คนเดียว
เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้
ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดคิดเรื่องแย่ๆ เอาไว้ก่อน
เพราะต่อให้พร่ำบ่นแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา
ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองที่มีต่องานโดนสิ้นเชิง ผมขลุกอยู่กับการวิจัย ยอมทำงานหนักเท่าที่จะทำได้
ผมถึงกับเอาหม้อหุงต้มมาไว้ที่ห้องแล็บเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านเลยด้วยซ้ำ
วิธีนี้ช่วยให้ผมทุ่มเทเวลาให้กับการทดลองได้อย่างเต็มที่
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเริ่มสะท้อนออกมาในงานที่ทำ
ผมได้รับคำชมจากเจ้านาย ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากทำงานให้หนักกว่าเดิม
ผลงานที่ออกมาจึงยิ่งดีขึ้นไปอีก
สุดท้ายผมก็สามารถสังเคราะห์เซรามิกเนื้อละเอียดสำหรับทำหลอดภาพโทรทัศน์ได้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น
ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากกระบวนการที่ผมคิดค้นขึ้นเอง
ซึ่งนั่นทำให้ผมได้รับการยอมรับจากเจ้านายยิ่งไปกว่าเดิมอีก
ตอนนี้เองที่ผมค้นพบว่างานที่ทำก็น่าสนใจและมีความหมายเหมือนกัน
ในที่สุดผมก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าจะได้เงินเดือนตรงเวลาหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้นทักษะที่ผมพัฒนาขึ้นจากการทำงาน (ที่ผมเคยเกลียดในตอนแรก)
ก็กลายเป็นสิ่งที่ช่วยปูเส้นทางสู่ความสำเร็จให้เคียวเซร่าในเวลาต่อมา
หลังจากเปลี่ยนทัศนคติ
ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ผมทำลายวงจรอุบาทว์แล้วเข้าสู่วงจรแห่งความดีงามแทน
ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าโชคชะตาของเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้แบบตายตัว
เราสามารถเลือกได้เองว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
ความยากลำบากที่ต้องเผชิญในวัยหนุ่มทำให้ผมตระหนักถึงหลักการพื้นฐานที่ว่า
ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นที่มาของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เหตุการณ์ต่างๆ
ล้วนงอกเงยขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้
แม้กระทั่งคนที่เชื่อว่าการกระทำเป็นตัวลิขิตโชคชะตาก็ยังมีชีวิตขึ้นๆ ลงๆ
ตามภาพที่พวกเขาวาดไว้ในหัว
“โชคชะตา”
นั้นมีอยู่จริงครับ แต่มันไม่ได้ถูกกำหนดไว้แต่อย่างใด
เราจึงสามารถใช้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตได้ อันที่จริงแล้ว
ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้
ชาวญี่ปุ่นเรียกแนวคิดนี้ว่า “ริตสึเม” หรือการวางเส้นทางชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง
เราเป็นคนวาดภาพลงบนผืนผ้าใบแห่งชีวิตด้วยตัวเอง
โดยใช้ความคิดเป็นตัวแต่งแต้มสีสัน ดังนั้น
คุณจึงสามารถกำหนดสีสันของชีวิตได้ด้วยภาพในหัวคุณ
.
.
.
แด่ทัศนคติและมุมมอง
StorySnap
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น