วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [5]

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

ถึงตอนนี้ ผมได้แบ่งปันหลักการพื้นฐานในการดำเนินชีวิตกับคุณไปแล้วหนึ่งข้อ  นั่นคือ ความคิดเปลี่ยนชีวิตเราได้ อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ความล้มเหลวและความยากลำบากที่เกิดขึ้นซ้ำๆ สมัยยังหนุ่ม ทุกอย่างที่ผมคิดว่าจะผิดพลาดก็มักผิดพลาดจริงๆ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงไม่เคยเป็นไปตามที่หวังเลย ผมรู้สึกเหมือนคนโชคร้ายที่ถูกพระเจ้าหรือโชคชะตาทอดทิ้ง ได้แต่ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆ โดยไม่มีความสุขกับอะไรสักอย่าง ไม่นานผมก็กลายเป็นคนขมขื่นและรู้สึกแค้นเคืองโลกทั้งใบ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ผมก็เริ่มเข้าใจว่าต้นเหตุของความทุกข์ยากทั้งหมดคือความรู้สึกนึกคิดของผมเอง
                ผมเผชิญกับความล้มเหลวเป็นครั้งแรกมเมื่อสอบเข้าเรียนมัธยมต้นไม่ติด ซ้ำร้ายหมอยังวินิจฉัยว่าผมติดเชื้อวัณโรคอีก สมัยนั้นยังไม่มีวิธีรักษาวัณโรค และมันก็ได้คร่าชีวิตญาติผู้ใหญ่ ในครอบครัวของผมไปแล้วถึงสามคน ผมคิดในใจว่า “ไม่นานฉันคงอ้วกเป็นเลือดแล้วตายไปเหมือนกัน” ช่วงนั้นผมมีไข้ต่ำๆ และเอาแต่นอนอยู่บนเตียง จมอยู่กับความรู้สึกไร้ค่าและสิ้นหวัง
                เพื่อนบ้านคนหนึ่งคงรู้สึกเห็นใจ จึงให้ผมยืมหนังสือชื่อ เซเม โนะ จิสโซ ที่เขียนโดยทะนิกุจิ มะซะฮะรุ ผู้ก่อตั้งกลุ่มสัจธรรมแห่งชีวิต (เซโช โนะ อิเอะ) แม้เนื้อหาจะเข้าใจยากอยู่สักหน่อย แต่ตอนนั้นผมกำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงรีบพลิกอ่านอย่างกระตือรือร้น พออ่านจบผมก็พบว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีแม่เหล็กที่คอยดึงดูดเคราะห์ร้ายเข้ามานั่นเอง
                ผมรู้สึกทึ่งกับแนวคิดดังกล่าว ทะนิกุจิอธิบายว่าทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตล้านเกิดขึ้นเพราะแรงดึงดูดจากความรู้สึกนึกคิด ความเจ็บป่วยก็เช่นกัน ถึงจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ตอน่านผมกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้พูดถูก ตอนคุณปู่ของผมเป็นวัณโรค ท่านพักอยู่ในตึกซึ่งอยู่ติดกับบ้านที่ผมอยู่ ครอบครัวผมจึงคอยดูแลท่าน แต่ผมกลัวติดโรคมากถึงขนาดกลั้นหายใจวิ่งทุกครั้งที่ต้องผ่านตึกนั้น ขณะที่พ่อผมไปดูแลคุณปู่ด้วยตัวเอง แม้แต่พี่ชายของผมก็ดูจะไม่ห่วงเรื่องนี้เลย เขายังบอกด้วยว่าวัณโรคไม่ได้ติดต่อกันง่ายขนาดนั้น ผมจึงเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ยอมไปหาคุณปู่ และก็เป็นคนเดียวที่ติดเชื้อวัณโรคในเวลาต่อมา
                บางทีผมคงถูกลงโทษที่รังเกียจและพยายามหลีกหนีจากวัณโรคสุดชีวิต ความคิดและพฤติกรรมดังกล่าวจึงยิ่งดึงดูดโชคร้ายเข้ามา ผมติดเชื้อก็เพราะกลัว ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าการนึกถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาจริงๆ ข้อความที่ทะนิกุจิเขียนไว้ทำให้ผมตระหนักว่าภาพในหัวสามารถเป็นจริงได้ พอได้มองย้อนถึงสิ่งที่ทำลงไป ผมก็สัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนวิธีคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และผมก็มักลื่นไถลออกนอกเส้นทางของการคิดบวกอยู่บ่อยครั้ง
.....
(ติดตามได้ในบทความต่อไปค่ะ)

StorySnap




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น