หัวข้อเรื่อง "เปลี่ยนความปรารถนาให้กลายเป็นจริง"
“คุณจะได้ในสิ่งที่ขอ” คือกฏของชีวิต
“ชีวิตไม่เคยได้ดั่งใจ” เราอาจเคยมีมุมมองอันคับแคบเช่นนี้ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่ความคิดแบบนี้แหละครับ คือสิ่งที่ผลักดันให้ชีวิตของเราเป็นแบบนั้น เมื่อเราคิดไว้แล้วว่าชีวิตจะต้องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มันก็จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการจริงๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าถ้าคาดหวังไว้อย่างไรชีวิตก็จะเป็นไปอย่างนั้น
หลักการสู่ความสำเร็จมากมายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ชีวิตคือภาพสะท้อนของความคิด ประสบการณ์ส่วนตัวทำให้ผมเชื่อเรื่องนี้มาก ผลลัพธ์ที่เราจดจ่อจะถูกดึงดูดเข้าหาเราโดยอัตโนมัติ และมีเพียงสิ่งที่เราปรารถนาอย่างแรงกล้าเท่านั้น ที่จะกลายเป็นจริง ถ้าไม่นึกถึงภาพผลลัพธ์ที่ชัดเจนไว้ในใจ เราก็จะไม่มีทางได้มันมา ความคิดและความปรารถนาจึงเป็นตัวกำหนดความเป็นจริงในชีวิตของเรา ถ้าคุณอยากทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ ขึ้นแรกคุณจะต้องจดจ่อกับภาพของคนที่คุณอยากป็นหรือสถานการณ์ที่อยากให้เกิดขึ้น คุณจะต้องคิดภาพนั้นไว้ในใจและปรารถนาถึงมันอย่างแรงกล้าที่สุด
ผมตระหนักถึงพลังของความคิดเป็นครั้งแรกเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ตอนที่เข้าฟังการบรรยายของมัตสึชิตะ โคโนะซุเกะ หรือที่ชาวญี่ปุ่นขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งการบริหารจัดการ” ตอนนั้นมัตสึชิตะยังไม่เป็นที่นับหน้าถือตาเท่าทุกวันนี้ และผมก็เพิ่งเริ่มก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ในการบรรยายครั้งนั้น มัตสึชิตะพูดถึงทฤษฏีการบริหารแบบสร้างเขื่อนอันโด่งดังของเขา หลักการมีอยู่ว่า ถ้าเราไม่สร้างเขื่อน น้ำก็จะท่วมทะลักออกมาจากแม่น้ำทุกครั้งที่ฝนตกหนัก และจะแห้งเหือดไปเมื่อถึงฤดูแล้ง แต่ถ้าสร้างเขื่อนเราจะมีอำนาจควบคุมเหนือแม่น้ำ โดยไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป เขาบอกว่าหลักการนี้สามารถประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการได้เช่นกัน โดยแนะนำให้บริษัทต่างๆ เก็บสำรองทรัพยากรและเงินทุนส่วนเกินเอาไว้ใช้ในยามขาดแคลน
ด้วยความที่นั่งอยู่หลังห้อง ผมจึงสัมผัสถึงคลื่นความไม่เห็นด้วยที่ก่อตัวขึ้นในหมู่ผู้ฟังได้อย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็กและขนาดการเหมือนกับผม พวกเขาต่างบ่นพึมพำว่า “หมอนี่พูดเรื่องอะไรกัน” “เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้ามีช่องทางให้ทำได้เราคงไม่ต้องปากกัดตีนถีบกันขนาดนี้ รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมีทุนสำรอง แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าจะหามาได้ยังไงน่ะสิ”
เมื่อถึงช่วงตอบคำถาม ผู้ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “ไอ้หลักการบริหารแบบสร้างเขื่อนนี่มันฟังดูดีอยู่หรอกนะ แต่เราคงทำไม่ได้หรอก คุณไม่คิดจะบอกเราหน่อยเหรอว่าจะสร้างเขื่อนนั้นได้ยังไง”
รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฎบนใบหน้าอ่อนโยนของมัตสึชิตะ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “บอกตามตรงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง แต่ผมก็อยากจะสร้างมันขึ้นมาให้ได้” ดูเหมือนว่าเขาจะตอบไม่ตรงคำถาม ผู้ฟังจึงได้แต่หัวเราะอย่างอิหลักอิเหลื่อ คนส่วนใหญ่ดูจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคำพูดของมัตสึชิตะกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เขาเพิ่งจะเผยให้เห็นถึงความจริงที่ลึกซึ้งข้อหนึ่ง
สิ่งสำคัญคือต้องจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการ ทั้งยามหลับและยามตื่น
คำพูดของมัตสึชิตะทำให้ผมตระหนักว่าความปรารถนาสำคัญอย่างไร เขามองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งสอนวิธีสร้างเขื่อนเพราะแต่ละคนก็มีวิธีและขั้นตอนในแบบของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ “เราต้องอยากสร้างเขื่อนเสียก่อน” เพราะความปรารถนาคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
เมื่อใดที่หัวใจร่ำร้อง เมื่อนั้นเราจึงมองเห็นเป้าหมายและพบหนทาง แล้วความสำเร็จก็จะรออยู่ไม่ไกล นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ความปรารถนาอันแรงกล้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อเราอยากได้อะไรสักอย่าง ถ้าชีวิตคือภาพสะท้อนของความคิดความปรารถนาก็เป็นพลังสำคัญที่จะช่วยให้ฝันเป็นจริง เช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในสวนแห่งชีวิต ความปรารถนาจะหยั่งรากลงดิน แตกกิ่งก้านขึ้นสู่ท้องฟ้า และผลิดอกออกผล นี่คือความจริงที่ผมได้เรียนรู้จากมัตสึชิตะ หลังจากวันนั้นผมก็ได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเองและนำมาปรับใช้กับชีวิตในที่สุด
ความปรารถนาแบบครึ่งๆ กลางๆ จะไม่มีวันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง คุณต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าอยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะยามหลับหรือยามตื่น ทั้งยังต้องปล่อยให้มันไหลเวียนไปทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ชนิดที่ว่าถ้าโดนมีดบาด สิ่งที่ไหลทะลักออกมาจะไม่ใช่เลือดแต่เป็นความปรารถนาของคุณ ความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้เองที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังทุกความสำเร็จ
หากคนสองคนมีความสามารถและความพยายามเท่าๆ กัน แต่คนหนึ่งล้มเหลวขณะที่อีกคนประสบความสำเร็จ หลายคนมักจะสรุปว่าเป็นเพราะโชควาสนาที่ต่างกัน แต่จริงแล้วเกิดจากวามปรารถนาที่มีขนาดไม่เท่ากัน ลึกซึ้งไม่เท่ากัน และแรงกล้าไม่เท่ากันต่างหาก บางคนอาจคิดว่าผมมองโลกในแง่ดีจนไร้เดียงสาเกินไปหน่อย แต่อย่าลืมว่าการจดจ่ออยู่กับเป้าหมายหนึ่งเดียวจนลืมกินลืมนอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และการจะคงไว้ซึ่งความปรารถนาอันแรงกล้าจนมันซึมลึกเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกก็ใม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน
ในการบริหารธุรกิจและการสร้างธุรกิจใหม่ๆ สัญชาตญาณมักบอกเราว่าการทำสิ่งแปลกใหม่จะนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่หากปล่อยให้สัญชาตยาณชี้นำการกระทำอยู่ตลอด เราก็คงไม่เป็นอันทำอะไร ดังนั้น ถ้าคุณอยากลงมือทำอะไรแปลกใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา ถ้าอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ คุณก็ต้อง “คลั่งไคล้” และทุ่มเทอย่างหนักด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในชีวิตและธุรกิจได้ตามที่ตั้งใจ
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ
แด่ทุกความปรารถนาอันดี
StorySnap
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น