วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2558

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [11]

ฝันให้ไกลแล้วไปให้ถึง

ถึงตอนนี้เราคงเข้าใจพลังของความปรารถนาและวิธีนำมันมาใช้แล้ว ถ้าคุณอยากนำพลังนี้มาใช้เพื่อสร้างความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ทั้งในชีวิตและการทำงาน คุณก็ต้องฝันให้ไกลเข้าไว้ด้วยความทะเยอะทะยาน

            บางคนอาจแย้งว่าแค่ใช้ชีวิตให้ผ่านไปแต่ละวันก็ยากพอแล้ว จะให้มานั่งฝันหรือตั้งความหวังอะไรได้อีก แต่อันที่จริงแล้วคนที่เข้มแข็งมากพอจาสามารถทำให้ชีวิตเป็นแบบที่ตัวเองต้องการได้จะมีความฝันที่ทะเยอทะยาน คนเหล่านี้มักอยากได้ในสิ่งที่เอื้อมไม่ถึง ซึ่งตัวผมเองก็เป็นแบบนั้น ความฝันและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่เป็นแรงผลักดันที่พาผมมาไกลได้ขนาดนี้

            อย่างที่เคยบอกไปแล้วว่าตอนก่อตั้งเคียวเซร่าผมตั้งใจจะสร้างบริษัทที่เป็นผู้ผลิตเซรามิกชั้นนำของโลก และผมก็เน้นย้ำความฝันนั้นให้พนักงานฟังซ้ำ       ๆ ผมไม่มีกลยุทธ์ที่จับต้องได้หรือแผนการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ เรียกได้ว่าผมไม่อยู่บนโลกแห่งความจริงเลยด้วยซ้ำ แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสผมจะเล่าความฝันนั้นให้พนักงานฟัง เพื่อให้ความฝันของผมกลายเป็นความปรารถนาของพนักงานทุกคน และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง

            ไม่มีความฝันใดจะเป็นจริงได้ถ้าเราไม่เคยวาดฝัน มีแต่สิ่งที่เราอยากได้ให้เป็นจริงเท่านั้นที่เกิดขึ้นได้ ในที่สุดเคียวเซร่าก็กลายเป็นบริษัทชั้นนำในวงการ เพราะเรามีความปรารถนาที่รุนแรงจนซึมซาบเข้าไปในจิตใต้สำนึก ทั้งยังร่วมมือกันจนมันกลายเป็นความจริง แม้ว่าความฝันที่ยิ่งใหญต้องใช้เวลานานกว่าจะไปถึง แต่ถ้าเรานึกภาพความสำเร็จไว้ในหัวและจินตนาการถึงขั้นตอนสู่เป้าหมายให้ชัดเจน เราก็จะเริ่มมองเห็นวิธีไปถึงจุดนั้น เราจะค้นพบวิธีใหม่ๆ มากมายที่ช่วยให้ความฝันกลายเป็นจริง แม้ว่าทุกวันจะเจอแต่เรื่องซ้ำซากจำเจก็ตาม

            หลายครั้งเราก็ได้แรงบันดาลใจใหม่ๆ โดยไม่คาดฝันในสถานการณ์ที่ดูธรรมดา เช่น ระหว่างเดินไปตามถนน พักผ่อนจิบน้ำชา หรือพูดคุยกับเพื่อน ถึงแม้แต่ละคนจะพบเจอสิ่งเดียวกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นคำใบ้ที่ชีวิตหยิบยื่นให้ นี่คือสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างนักคิดผู้ยิ่งใหญ่กับคนธรรมดา มีคนมากมายที่เคยเห็นผลแอปเปิลตกจากต้นเหมือนนิวตัน แต่เขากลับเป็นคนเดียวที่ค้นพบกฏแรงดึงดูดของโลก เขาประสบความสำเร็จก็เพราะความปรารถนาอันแรงกล้าในการค้นหาคำตอบ


            ผมบอกไปแล้วว่าถ้ารักษาเปลวไฟแห่งความปรารถให้โชติช่วยอยู่เสมอ เราจะได้รับแรงบันดาลใจจากสวรรค์ ซึ่งเป็นที่มาของความสำเร็จอันน่าทึ่งทั้งหลาย ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ควรหมั่นพูดถึงความฝันของตัวเอง และมองไปข้างหน้าด้วยความหวัง เพราะหากปราศจากความฝันแล้ว เราจะไม่สามารถสร้างสรรค์ ประสบความสำเร็จ หรือเติบโตขึ้นอย่างที่มนุษย์ควรจะเป็น เมื่อเราพยายามทำความฝันให้กลายเป็นจริง และไม่ลดละความพยายามในการสร้างสิ่งใหม่ ตัวตนของเราก็จะถูกขัดเกลาให้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ ความฝันและความปรารถนาจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกความใฝ่ฝันและแรงบันดาลใจ
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558

ตระหนักถึงชีวิตที่ต้อง “จดจ่อ” เป็นประจำ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [10]

ตระหนักถึงชีวิตที่ต้อง “จดจ่อ” เป็นประจำ

กลุ่มบริษัทเคียวเซร่าผลิตเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสารโดยใช้ลูกดรัม (หรืออุปกรณ์ทรงกระบอกที่ใช้สร้างภาพลงบนกระดาษ) ซึ่งทำจากอะมอร์ฟัสซิลิคอนที่มีความไวต่อแสง ลูกดรัมนี้มีความแข็งแรงกว่าลูกดรัมทั่วไปมาก โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ตลอดอายุการใช้งานของเครื่องพิมพ์และเครื่องถ่ายเอกสาร (นานกว่าลูกดรัมทั่วไปถึง 10  เท่า) มันจึงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าด้วย

            เคียวเซร่าเป็นบริษัทแรกที่ผลิตลูกดรัมชนิดนี้ได้เป็นจำนวนมาก เราจะนำแผ่นฟิล์มซิลิคอนมาติดลงบนพื้นผิวแท่งอะลูมิเนียมขัดเงา โดยต้องติดแผ่นฟิล์มเสมอกันเพื่อให้เกิดความไวต่อแสงในระดับที่ต้องการ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและทำได้ยากมาก เพราะถ้าปิดฟิล์มคลาดเคลื่อนไปแค่ 0.001 มิลลิเมตรก็ใช้ไม่ได้แล้ว หลังจากทำวิจัยและพัฒนาลูกดรัมตัวนี้ได้สามปี เราจึงสามารถทำได้สำเร็จเป็นครั้งแรก แต่ก็เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีของเรายังไม่สามารถรองรับการผลิตเป็นจำนวนมากได้

            ระหว่างนั้นบริษัทอื่นๆ ทั่วโลกก็กำลังทำวิจัยเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่มีใครผลิตลูกดรัมดังกล่าวได้เป็นจำนวนมากเลย ผมเองก็เกือบจะยอมแพ้ไปแล้ว แต่ก็ตัดสินใจลองดูเป็นครั้งสุดท้าย ผมย้อนกลับไปดูขั้นตอนการผลิตอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง เพราะมั่นใจว่าหากเฝ้าดูทุกขั้นตอนที่เกิดขึ้น เราน่าจะได้รู้ได้เห็นอะไรบางอย่าง ผมสั่งให้ทีมนักวิจัยคอยจับตาดูทุกรายละเอียดปลีกย่อยในกระบวนการผลิต ไม่ว่ามันจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม

            จนกระทั่งแวะไปหานักวิจัยคนหนึ่งในตอนกลางคืน แล้วเห็นเขานั่งสัปหงกอยู่บนเก้าอี้ ทั้งๆ ที่ควรเฝ้าสังเกตุสิ่งที่เกิดขึ้นโดยละเอียด แทนที่จะได้ยินเสียงของผลิตภัณฑ์ผมกลับได้ยินแต่เสียงกรน ผมจึงหาคนที่ชอบสังเกตุมาทำงานแทน นอกจากนี้ผมยังย้ายห้องทดลองของเคียวเซร่า จากเมืองคะโงะชิมะที่เมืองชิงะ รวมทั้งเปลี่ยนตัวทีมงานในตำแหน่งสำคัญๆ โดยนอกจากจะแต่งตั้งหัวหน้าคนใหม่แล้ว ผมยังเลื่อนตำแหน่งให้พนักงานใหม่อีกหลายคน การโละทีมวิจัยที่อยู่กันมานานหลายปีเป็นเรื่องที่เสียงมากๆ แต่มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปูทางไปสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ เพราะไม่ถึงปี เราก็สามารถผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากได้สำเร็จ ทีมงานชุดใหม่มีสิ่งที่ทีมงานชุดเก่าไม่มี นั่นคือ พวกเขารู้สึกผูกพันกับงานและตัวผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง ทั้งยังเป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียด การอุทิศตัวและทุ่มเทแบบไม่มีขาดตกบกพร่องเช่นนี้เองที่ช่วยให้เราสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เหนือชั้นขึ้นมาได้

            ในญี่ปุ่นมีคำกล่าวที่ว่า “จงรับรู้อย่างตั้งใจ” ซึ่งหมายถึงการรับรู้อย่างมีสติ โดยมีเป้าหมายและพุ่งสมาธิทั้งหมดไปกับกาจดจ่อ เวลาที่เราได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแล้วหันไปมองโดยอัตโนมัติ นั่นคือการรับรู้อย่างไม่ตั้งใจ ในทางตรงข้ามหากรับรู้อย่างตั้งใจ เราจะพยายามจดจ่อกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ทีมงานของผมก็ใช้วิธีนี้ในช่วงที่เคียวเซร่าพยายามพัฒนาขั้นตอนการผลิตลูกดรัมครั้งละเป็นจำนวนมากเช่นกัน เพราะการนั่งมองสายการผลิตด้วยสายตาเหม่อลอยนั้นไม่สามารถช่วยให้เราเจอคำตอบที่มองหาอยู่ได้

            นะกะมุระ เทมปู นักปรัชญาที่ผมเอ่ยถึงก่อนหน้านี้เคยกล่าวไว้ว่า “ชีวิตจะไร้ความหมายหากปราศจากการรับรู้อย่างตั้งใจ” สมาธิของเรามีอยู่จำกัด การจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงเป็นเรื่องยาก อย่างไรก็ตาม หากพยายามจดจ่ออยู่กับมันไปเรื่อยๆ เราก็จะค่อยๆ สร้างนิสัยของการรับรู้อย่างตั้งใจ และบ่มเพาะความสามารถในการเข้าใจแก่นแท้ของสรรพสิ่ง แล้วเราก็จะมีวิจารณญาณที่แม่นยำมากขึ้นตามมา

            เมื่อก่อนหากไม่ค่อยมีเวลา ผมจะถามไถ่ความคืบหน้าของงานจากพนักงานที่เดินสวนกันตามทางหรือฝากคำแนะนำไปบอกต่อๆ กัน แต่นั่นก็สร้างปัญหาขึ้นในเวลาต่อมา เพราะพนักงานจะอ้างว่าเคยบอกบางเรื่องกับผมไปแล้ว แต่หลายครั้งเข้า ผมจึงตัดสินใจหาเวลาพูดคุยกับพวกเขาในห้องหรือตามมุมพักผ่อนเพื่อจะได้มีสมาธิจดจ่อกับสิ่งที่พวกเขาพูด


            การรับรู้อย่างตั้งใจก็เหมือนกับสว่าน ซึ่งจะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อเจาะลงไปที่จุดเดียว ถ้าเรามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว เราก็จะบรรลุเป้าหมายนั้นได้ในที่สุด ทุกความสำเร็จล้วนเป็นผลมาจากความปรารถนาที่จะให้มันเกิดขึ้น ดังนั้น เราจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสามารถรักษาระดับความปรารถนานั้นไว้ได้มากแค่ไหน และเอาจริงเอาจังกับการบรรลุเป้าหมายมากเพียงใด
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการรับรู้อย่างตั้งใจ
StorySnap

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558

ฟังเสียงของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ทำงาน

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [9]

ฟังเสียงของพระเจ้าที่สถิตอยู่ในที่ทำงาน

พระเจ้าทรงสถิตอยู่ในที่ทำงานครับ อาจมีหลายครั้งที่ต่อให้พยายามแค่ไหนเราก็ยังเจอทางตันและรู้สึกหมดกำลัง แต่เมื่อใดก็ตามที่รู้สึกสิ้นหวัง นั่นแปลว่าเรามาถึงจุดเริ่มต้นที่แท้จริงแล้วต่างหาก ความอับจนหนทางคือสิ่งที่เปิดโอกาสให้เราได้หยุดมองและทบทวนเหตุการณ์ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามความรู้สึกของเราเอง ผมเคยพบกับนะกะโบะ โคเฮ ทนายความฝ่ายโจทก์ที่ทำคดีดังมาแล้วหลายคดี

หนึ่งในนั้นคือสารหนูปนเปื้อนในนมผงสำหรับทารกซึ่งผู้เสียหายยื่นฟ้องร้องบริษัทโมะรินกะในช่วงทศวรรษที่ 1970 และคดีทุจริตการซื้อขายทองของบริษัท โทะโยะตะ โชจิ ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ซึ่งมีผู้เสียหายเป็นเหล่านักลงทุนที่ถูกโกงเงินไปกว่าสองแสนล้านเยน เมื่อผมถามนะกะโบะว่าอะไรคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ เขาตอบว่า “กุญแจในกาไขคดีอยู่ตรงจุดเกิดเหตุนั่นละครับ เพราะพระเจ้าเองก็สถิตอยู่ที่นั่นด้วย” แม้เราจะอยู่ต่างสาขาอาชีพ แต่สิ่งที่เขาพูดก็เป็นความจริงสำหรับผมด้วยเช่นกัน คำพูดของนะกะโบะตอกย้ำความเชื่อของผมที่ว่า ถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เราต้องหันมาสนใจและคอยเฝ้าสังเกตความเป็นไปรอบตัว


สำหรับบริษัทผู้ผลิต นั่นหมายความว่าเราต้องประเมินทุกแง่มุมของการทำงานด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ว่าจะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ เครื่องจักร วัตถุดิบ เครื่องมือ หรือแม้แต่ขั้นตอนการผลิต เราต้องทุ่มเททั้งกายใจเพื่อฟังเสียงของผลิตภัณฑ์หรือสถานที่ทำงานอย่างตั้งใจ แล้วคุณจะได้ยินเสียงของพระเจ้าที่กระซิบบอกใบ้ว่าคุณควรทำอะไรต่อไป นี่เป็นสิ่งที่ผมเรียกว่าการฟังเสียงของผลิตภัณฑ์

ผลิตภัณฑ์เซรามิกเกิดจากการบีบอัดผงออกไซด์ของโลหะเข้าไปในแม่พิมพ์ จากนั้นก็นำเข้าเตาแล้วเผาด้วยความร้อนสูง กระบวนการนี้คล้ายกับการผลิตเครื่องเคลือบดินเผา แต่เซรามิกต้องใช้ความแม่นยำในระดับที่สูงกว่ามาก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ได้จะถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ จึงมีข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด หากเซรามิกผิดรูปเพียงนิดเดียวอาจทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชิ้นนั้นใช้การไม่ได้เลย ช่วงที่เคียวเซร่าเพิ่งเปิดได้ไม่นาน เรารับงานพัฒนาผลิตภัณฑ์เซรามิกตัวใหม่ แต่ทุกครั้งที่เรานำแม่พิมพ์เข้าเตาเผา วัตถุดิบที่อยู่ข้างในจะออกมาบิดเบี้ยวไม่ได้รูป หลังจากลองผิดลองถูกอยู่หลายครั้ง เราจึงรู้ว่าวิธีที่เราใช้บีบอัดวัตถุดิบลงในแม่พิมพ์ทำให้ความหนาแน่นตรงด้านบนและด้านล่างของวัตถุดิบไม่เท่ากัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้มันออกมาผิดรูป แม้จะระบุสาเหตุของความผิดพลาดได้แล้ว แต่การหาวิธีทำให้วัตถุดิบมีความหนาแน่นเท่ากันทั้งชิ้นก็เป็นเรื่องยากมาก เราทดลองอยู่หลายครั้งแต่ก็คว้าน้ำเหลว ผมอยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างในเตาเผาเลยเปิดช่องเล็กๆ ที่เตาแล้วคอยเฝ้าสังเกต จึงได้รู้ว่าเมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น วัตถุดิบจะเริ่มบิดไปมาราวกับมีชีวิต และเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่ทำการเผา ผมแทบทนดูไม่ได้และอยากตะโกนออกไปว่า “เลิกบิดเดี๋ยวนี้นะ!” พลางรู้สึกเหมือนถูกสะกดให้ล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบไว้แม้จะรู้ว่าอุณหภูมิข้างในเตาสูงกว่า 1,000 องศาเซลเซียสก็ตาม ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีความหมายกับผมมาก ไม่ใช่เพราะผมเป็นวิศวกรที่มีหน้าที่ดูแลมันเท่านั้น แต่เป็นเพราะผมรู้ว่าบริษัทจะล้มเหลวหรือขาดทุนไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แรงกระตุ้นที่ทำให้ผมอยากล้วงมือเข้าไปกดวัตถุดิบก็นำไปสู่ทางออก ผมก็คิดได้ว่าควรวางวัสดุทนความร้อนทับบนวัตถุดิบก่อนจะทำการเผา ปรากฏว่าเราได้วัสดุที่เรียบไร้ที่ติเลยทีเดียว


ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าคำตอบที่กำลังมองหานั้นอยู่รอบตัวเราแล้ว แต่เราต้องมีแรงปรารถนาและความมุ่งมั่นในสิ่งที่กำลังทำมากกว่าคนอื่นๆ ทั้งยังต้องคอยเฝ้าสังเกตด้วยความคิดที่ปลอดโปร่งและที่อดทน คำตอบจึงจะปรากฏขึ้นมา เราจะได้ยินว่าผลิตภัณฑ์อยากบอกอะไรก็ต่อเมื่อใช้หูและหัวใจรับฟังมันพร้อมกับจับตาดูไม่ให้คลาดสายตา

ผมรู้ว่ามันฟังดูเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติมาก แต่จากประสบการณ์ของผม สิ่งที่ไม่มีชีวิตจิตใจอย่างผลิตภัณฑ์หรือห้องทำงานสามารถตอบสนองต่อความรู้สึกในก้นบึ้งของจิตใจและความกระหายใคร่รู้ของเราได้ โดยจะลุกขึ้นมาพูดกับเราด้วยเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน และเมื่อมันโต้ตอบกับหัวใจของเรา เราก็จะมองเห็นเส้นทางสู่จุดหมาย ซึ่งสำหรับอุตสาหกรรมการผลิตก็คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เฉียบคมและสมบูรณ์แบบนั่นเอง
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
แด่ทุกๆการใส่ใจและการเฝ้าสังเกต
StorySnap

วันจันทร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2558

สร้างสรรค์สิ่งใหม่ทุกวัน เพื่อความก้าวหน้าครั้งใหญ่

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [8]

สร้างสรรค์สิ่งใหม่ทุกวัน เพื่อความก้าวหน้าครั้งใหญ่

คนฉลาดไม่ค่อยทำให้ผมประทับใจเท่าไหร่ เพราะพวกเขาไม่ค่อยสนใจปัจจุบัน สติปัญญาอันหลักแหลมทำให้พวกเขาคิดว่าตัวเองคาดการณ์อนาคตได้ คนเหล่านี้จึงไม่ต่างกับกระต่ายที่คอยแต่จะหาทางลัดไปสู่จุดหมาย ทั้งที่ควรใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างช้าๆ และมั่นคงเหมือนกับเต่า การรีบก้าวเท้าไปสู่ความสำเร็จทำให้พวกเขาสะดุดล้มอยู่บ่อยครั้ง คนเก่งๆ มากมายเริ่มงานกับเคียวเซร่าแล้วด่วนลาออกไปเพราะคิดว่าบริษัทแห่งนี้ไร้อนาคต จึงเหลือเพียงคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องจนเลือกทำงานที่ไหนก็ได้ แต่หลายครั้งผมกลับพบว่า คนคิดอะไรช้าๆ นี่แหละที่จะก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารองค์กรเมื่อเวลาผ่านไปสัก 10 หรือ 20 ปี
            คนธรรมดาจะกลายเป็นคนพิเศษก็ต่อเมื่อพวกเขามุมานะโดยไม่ปริปากบ่น ไม่ถอดใจยอมแพ้ และพยายามทำแต่ละวันให้ดีที่สุดอยู่เสมอ คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาเหล่านี้ สามารถทำความฝันให้กลายเป็นจริงด้วยการลงมือทำไปทีละขั้นทุกวันโดยไม่มองหาทางลัด
            การพยายามอย่างไม่ลดละนั้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่การทำอย่างต่อเนื่องกับการทำซ้ำซากนั้นแตกต่างกัน แทนที่จะทำเรื่องที่เคยทำไปเมื่อวานโดยไม่คิด เราควรหาทางทำวันพรุ่งนี้ให้ดีกว่าเดิมและเพิ่มความพยายามให้มากขึ้นด้วย นี่เป็นทัศนคติที่จะช่วยให้เราประสบความสำเร็จได้เร็วขึ้น ในฐานะวิศวกร ผมมักคอยถามตัวเองว่าผลงานของเราดีพอแล้วหรือมันยังดีกว่านี้ได้อีก ผมเชื่อว่า ถ้าคุณมองสิ่งที่กำลังทำอยู่ด้วยมุมมองแบบเดียวกับผม แม้แต่งานที่ดูธรรมดาที่สุดก็อาจเปิดโอกาสให้คุณใช้ความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
            ผมขอยกตัวอย่างงานทำความสะอาดก็แล้วกัน ลองคิดดูว่าแทนที่จะใช้ไม้กวาดอย่างที่ทำอยู่ มีวิธีไหนบ้างที่ช่วยให้คุณทำความสะอาดได้ดีและเร็วกว่าเดิม คุณอาจลองเปลี่ยนมาใช้ไม้ถูพื้นหรือซื้อเครื่องดูดฝุ่น ไม่ก็อาจลองวิธีอื่นๆ เพื่อหาวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แม้จะเป็นแค่งานเล็กๆ น้อยๆ แต่เราจะเห็นว่าคนที่ทำงานประเภทนี้มีอยู่สองประเภทคือ คนที่ทำงานด้วยความปรารถนาที่จะปรับปรุงให้ดีขึ้นกับคนที่ไม่กระตือรือร้นเอาเสียเลย ในระยะยาวแล้วคนที่คิดหาวิธีใหม่ๆ อยู่เสมอจะได้ก่อตั้งบริษัททำความสะอาดเป็นของตัวเอง ส่วนคนที่ทำงานแค่พอให้เสร็จไปวันๆ โดยไม่หาทางปรับปรุงให้ดีขึ้นจะยังเป็นคนทำความสะอาดอยู่เหมือนเดิม
            สุดท้ายแล้วการพยายามปรับปรุงเล็กๆน้อยๆ ในแต่ละวันจะก่อให้เกิดความแตกต่างอันใหญ่หลวง เพราะกุญแจสู่ความสำเร็จก็คือ อย่าเอาแต่ใช้เส้นทางเดิมที่คุณเคยเดินอยู่เสมอ
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่ เช่นเคยค่ะ

แด่ทุกการสร้างสรรค์
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2558

ความพยายามทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [7]

ความพยายามทำให้คนธรรมดากลายเป็นคนพิเศษ

มุระกะมิ คะซุโอะ ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยทสึคุบะและผู้เชี่ยวชาญด้านพันธุศาสตร์ ได้อธิบายถึงพลัง "เหนือมนุษย์" ที่เรางัดออกมาใช้ในสถานการณืคับขันว่า มันเป็นพลังที่ซ่อนอยู่ในตัวมนุษย์ทุกคน แต่ยีนที่ควบคุมถูกปิดสวิตซ์ไว้และหลับใหลอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อเปิดสวิตซ์ขึ้นมา เราจะสามารถนำพลังดังกล่าวมาใช้ได้แม้แต่ในสถานการณ์ปกติ เขายังบอกด้วยว่า การคิดบวกและทัศนคติที่ดีจะช่วยปลุกพลังแฝงที่หลับใหลอยู่ภายในตัวเราได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ งานวิจัยทางพันธุศาสตร์ยังสนับสนุนแนวคิดที่ว่า ทัศนคติมีพลังมหาศาลในการเพิ่มพูนศักยภาพของมนุษย์

            แล้วศักยภาพของเราคืออะไรล่ะ หากมองในแง่พันธุศาสตร์ ทุกสิ่งที่เราวาดฝันและต้องการล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น เราทุกคนเกิดมาพร้อมกับความสามารถ “ในการทำให้ความปรารถนาเป็นจริง” แต่เราต้อง “พยายาม” ไปให้ถึงเป้าหมายด้วย ไม่ใช่แค่ตั้งเป้าหมายสูงๆ เพียงอย่างเดียว

            ตอนที่เคียวเซร่ายังเป็นแค่โรงงานเล็กๆ ที่มีคนงานไม่ถึงร้อยคน ผมประกาศว่าในอนาคตบริษัทจะกลายเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ผมไม่คิดว่ามันเป็นความฝันที่เลื่อนลอย แต่เป็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่ต้องทำให้สำเร็จ ถึงอย่างนั้นไม่ว่าจะแหงนหน้ามองสูงแค่ไหน เท้าของเราก็ยังต้องติดดินอยู่เสมอ พูดง่ายๆ ก็คือ จงตั้งความหวังและความฝันให้สูงเข้าไว้ ทุ่มเทความพยายามกับงานที่ทำอยู่ทุกวัน แก้ปัญหาไปทีละอย่าง และก้าวไปให้ไกลกว่าจุดที่ยืนอยู่เมื่อวาน

            หลายครั้งผมก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเคียวเซร่าจะขึ้นสู่จุดสูงสุดได้จริงหรือ ผมรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างความฝันกับความจริงที่ห่างไกลกันเหลือเกิน อย่างไรก็ตาม ชีวิตคือ “ผลรวมของสิ่งที่เราทำได้ในแต่ละวัน” โดยเวลาแต่ละวินาทีจะรวมกันเป็นหนึ่งวัน แต่ละวันจะรวมกันเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เป็นปี พอรู้ตัวอีกทีเราก็มาถึงจุดสูงสุดที่เคยมองว่าไกลเกินเอื้อมแล้ว นี่ล่ะครับคือชีวิต

            ต่อให้เราเตรียมตัวต้อนรับอนาคตมากแค่ไหน อนาคตที่ว่าก็คงไม่มาถึงถ้าเราไม่ใช้ชีวิตในวันนี้เสียก่อน ไม่มีทางลัดใดนำเราไปสู่จุดหมายที่วาดภาพไว้ในหัวได้ เราต้องเดินไปบนเส้นทางอันยาวไกลทีละก้าวฉันใด เราก็ต้องมุ่งหน้าไปสู่ฝันอันยิ่งใหญ่ทีละน้อยฉันนั้น หากเราใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างเต็มที่ แทนที่จะปล่อยเวลาให้สูญเปล่า วันพรุ่งนี้ก็จะมาถึงในที่สุด และถ้าพยายามทำวันต่อๆ ไปให้ดี เราก็จะเริ่มมองเห็นสัปดาห์ต่อไปใกล้เข้ามา และเมื่อใช้ชีวิตสัปดห์นั้นให้เต็มที่ เราจะเริ่มมองเห็นเดือนต่อไป ถ้าเราทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีให้กับทุกชั่วขณะของชีวิตแทนที่จะเอาแต่ก้าวพรวดๆ ไปข้างหน้า อนาคตก็จะปรากฏให้เห็นโดยที่เราไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไหร่มันจะมาถึงเสียที


            ผมทำแบบนี้กับทุกเรื่องในชีวิต ผมจะก้าวช้าๆ อย่างมั่นคงให้เหมือนเต่าที่เอาชนะกระต่ายได้ในที่สุด การทุ่มเทอย่างต่อเนื่องให้กับสิ่งที่ทำคือปัจจัยที่ผลักดันเคียวเซร่าให้เติบโตมาจนถึงทุกวันนี้ และเปลี่ยนวิศวกรตัวเล็กๆ ให้กลายเป็นนักธุรกิจที่ผู้คนนับหน้าถือตา เมื่อเทียบกันแล้ว แทนที่จะเสียเวลาไปกับการกังวลเรื่องวันพรุ่งนี้หรือคิดแต่จะคาดเดาอนาคต คุณควรทุ่มเทให้กับทุกวินาทีของชีวิต นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในการทำความฝันให้เป็นจริง
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่

แด่ทุกความพยายามและความใฝ่ฝัน
StorySnap

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2558

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้


เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [6]

สำเร็จแน่แค่ไม่ยอมแพ้

คนที่เสี่ยงทำสิ่งใหม่ๆ แล้วประสบความสำเร็จคือคนที่เชื่อมั่นในศักยภาพของตัวเองอย่างแท้จริง ศักยภาพหมายถึง “ความสามารถในอนาคต” กล่าวคือ ถ้าประเมินความสามารถของตัวเองด้วยสิ่งที่ทำในปัจจุบัน เราจะไม่มีวันทำสิ่งใหม่หรือเอาชนะความท้าทายที่เข้ามาในชีวิตได้ แต่ถ้าเราเชื่อในศักยภาพที่มีแล้ววางเป้าหมายให้สูงขึ้นเล็กน้อย ตลอดจนรักษาระดับความปรารถนาให้โชติช่วง เราก็จะประสบความสำเร็จและขยายขอบเขตความสามารถของตัวเองได้
            ผมเองก็เคยมีประสบการณ์ทำนองนี้มาบ้าง เมื่อไอบีเอ็มสั่งชิ้นส่วนอุปกรณ์จำนวนมากจากเคียวเซร่าเป็นครั้งราก เราก็พบว่าแบบของสินค้าที่สั่งมานั้นละเอียดยิบย่อยอย่างไม่น่าเชื่อ ปกติแล้วรายละเอียดของชิ้นส่วนที่สั่งผลิตในยุคนั้นจะอยู่ในรูปของภาพวาดแค่ภาพเดียว แต่ชิ้นส่วนที่ไอบีเอ็มอยากได้มีรายละเอียดยาวเหยียดจนน่าจะรวมเป็นหนังสือเล่มหนึ่งได้เลย เราพยายามทำตามที่ไอบีเอ็มต้องการอยู่หลายครั้ง แต่ตัวอย่างสินค้าก็ถูกตีกลับตลอด เวลาที่ทำสำเร็จเราจะคิดว่าครั้งนี้ได้แน่ๆ แต่พอเสนอไปก็ไม่ผ่านเหมือนเดิม
            นอกจากข้อกำหนดของไอบีเอ็มจะเข้มงวดกว่าที่เคยเจอมาหลายเท่าตัวแล้ว บริษัทของเรายังขาดแคลนเครื่องมือที่จำเป็นในการสร้างผลงานที่ดีในระดับที่ไอบีเอ็มต้องการด้วยหลายครั้งผมแอบคิดว่าเราไม่มีเทคโนโลยีที่ดีพอจะรับงานนี้ด้วยซ้ำ แต่สำหรับบริษัทเล็กๆ ที่ไม่มีใครรู้จัก นี่เป็นโอกาสทองที่จะพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ และสร้างชื่อเสียงมากขึ้นผมจึงกระตุ้นพนักงานที่กำลังท้อแท้ให้กลับมามีกำลังใจและทุ่มเทให้กับโครงการนี้โดยใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่มี แต่ผลที่ออกมาก็ยังไม่ดีพอ หลังจากทำทุกวิถีทางแล้ว ผมก็เอ่ยถามคนที่รับผิดชอบงานว่า “คุณสวดภาพนาแล้วหรือยัง” เพราะเราทำหมดทุกอย่างที่ทำได้แล้ว ตอนนี้ก็ได้แต่รอมติจากสวรรค์เท่านั้น
            ด้วยความเพียรพยายามระดับเหนือมนุษย์ ในที่สุดเราก็พัฒนาสินค้าที่ “เฉียบคม” ตรงตามข้อกำหนดของไอบีเอ็มได้สำเร็จ จากนั้นจึงดำเนินการผลิตเต็มกำลังเป็นเวลาสองปี เพื่อจัดส่งชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลให้ตรงตามเวลา ขณะมองดูรถบรรทุกขนสินค้าเที่ยวสุดท้ายออกไปผมก็ตระหนักได้ว่า “มนุษย์เรามีความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด” ถ้าทุ่มเทแรงใจให้เป้าหมายที่ดูเป็นไปไม่ได้และมุ่งมั่นที่จะทำมันให้สำเร็จ เราก็จะขยายขีดความสามารถออกไปได้อย่างน่าอัศจรรย์ ความอุตสาหะจะปลุกพลังที่ซ่อนเร้นอยู่ในตัวให้เบ่งบาน สิ่งสำคัญคือต้องมองไปยังอนาคต ถึงตอนนี้จะทำบางอย่างไม่ได้ แต่ในอนาคตต้องทำได้แน่ เราต้องเชื่อว่ามีพลังบางอย่างหลับใหลอยู่ในตัวเราซึ่งยังไม่ถูกนำออกมาใช้
            ตอนที่ผมตัดสินใจรับงานจากไอบีเอ็มในนามของเคียวเซร่า ผมรู้อยู่แล้วว่าบริษัทของเรายังขาดเทคโนโลยีและทักษะที่จำเป็น ถ้ามองในมุมนนี้ข้อตกลงดังกล่าวก็ดูจะบ้าบิ่นอยู่สักหน่อย แต่นั่นคือแนวทางในการทำธุรกิจของผมครับ ตั้งแต่ช่วงแรกที่ก่อตั้งบริษัท ผมมักรับงานที่บรรดาผู้ผลิตรายใหญ่บอกปัดเพราะคิดว่ายากเกินไป เพราะนี่เป็นหนทางเดียวที่บริษัทเล็กๆ อย่างเราจะได้งาน แน่นอนว่าไม่มีอะไรรับประกันว่าเราจะทำได้สำเร็จ เพราะขนาดบริษัทยักใหญ่ที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยียังบอกว่ามันยากเกินไป แต่ผมไม่เคยพูดว่าทำไม่ได้ แม้แต่คำว่าน่าจะทำได้ก็ไม่เคยพูด ประโยคที่ผมพูดอยู่เสมอคือ เราทำได้
            เมื่อใดก็ตามที่ผมประกาศว่าจะทำโครงการใหม่ คนในบริษัทจะแสดงสีหน้าวิตกกังวลให้เห็นทันที แต่ผมก็มักหว่านล้อมให้พวกเขาเชื่อว่าเราทำได้ ทั้งยังแนะนำวิธีการให้ด้วย ผมจะอธิบายถึงผลดีที่บริษัทจะได้รับจากโครงการนี้ เพราะผมหวังว่าทุกคนที่เกี่ยวข้องจะลุกขึ้นมาต่อสู้กับความท้าทายกันอย่างกระตือรือร้น เมื่อพวกเขาเจออุปสรรค ผมจะบอกว่า “สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ก็เป็นเพียงการหยุดพักหนึ่งครั้งบนเส้นทางสู่ความสำเร็จ ผมรู้ว่าเราไปต่อได้ถ้าทุ่มเททุกอย่างที่มีและยึดมั่นในจุดหมายไปตลอดรอดฝั่ง”

            บางทีการบอกลูกค้าว่าเราสามารถทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อาจดูเหมือนการโกหก แต่เมื่อเราเริ่มต้นจากจุดที่ไม่น่าเป็นไปได้และลงมือทำอย่างจริงจัง จนไม่เหลืออะไรให้ทำอีกนอกจากรอมติสวรรค์ ความสำเร็จที่เกิดขึ้นก็จะเปลี่ยนคำสัญญาที่ดูเลื่อนลอยนั้นให้กลายเป็นจริง การคิดถึงความสามารถของตัวเองในอนาคตช่วยให้ผมทำเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้สำเร็จถึงสามในสี่ครั้งเลยทีเดียว
.
.
.
ติดตามอ่านเรื่องราวดีๆได้ที่นี่
StorySnap
Welcome all reader. :)

วันพฤหัสบดีที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2558

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย (ต่อ)

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [ุ6]


ความรู้สึกนึกคิดคือตัวกำหนดชะตากรรม

...โชคดีที่ผมรักษาตัวจนหายดีและกลับไปเรียนได้ตามปกติ แต่ความล้มเหลวอื่นๆ ก็ยังตามรังควานอย่างต่อเนื่อง ผมสอบไม่ติดมหาวิทยาลัยที่อยากเข้า แม้ว่าในท้ายที่สุดผมจะจบจากมหาวิทยาลัยท้องถิ่นและมีผลการเรียนที่ดี แต่จู่ๆ ญี่ปุ่นก็ประสบภาวะเศรษฐกิจถดถอยเฉียบพลันเนื่องจากมีการสั่งซื้อยุทโธปกรณ์ไปใช้ในสงครามเกาหลีน้อยลง ผมไม่มมีเส้นสายและต้องเตะฝุ่นหางานไปเรื่อยๆ เพราะมีบริษัทไม่กี่แห่งที่รับนักศึกษาจบใหม่จากมหาวิทยาลัยเปิดใหม่ในชนบท ผมจึงได้แต่สาปแช่งโชคชะตาอันเลวร้ายและก่นด่าโลกที่ไม่ยุติธรรม
            ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงโชคร้ายนัก หากต่อแถวซื้อลอตเตอรี่ ผมคงเป็นคนเดียวที่ไม่ถูกรางวัลแน่นอน ในเมื่อทำอะไรก็ล้มเหลวแล้วจะพยายามไปเพื่ออะไร ความคิดของผมมีแต่เรื่องเลวร้ายมากขึ้น อันที่จริงผมพอมีฝีมือด้านคาราเต้อยู่บ้าง จึงเริ่มคิดว่าจะเข้าแก๊งยากูซ่าให้รู้แล้วรู้รอดไป ผมถึงขั้นไปยืนแกร่วอยู่หน้าสำนักงานของแก๊งเลยด้วยซ้ำ
            แต่ด้วยความช่วยเหลือจากอาจารย์ท่านหนึ่ง สุดท้ายผมก็ได้งานที่บริษัทเซรามิกแห่งหนึ่งในเกียวโต แต่บริษัทจวนจะล้มละลายเต็มที ทำให้จ่ายค่าจ้างช้ากว่ากำหนดเป็นประจำ แถมพวกผู้จัดการยังชอบทะเลาะกันเองอีก ถึงผมจะงานทำเป็นหลักแหล่ง แต่สภาพแวดล้อมกลับบั่นทอนกำลังใจ เวลาพนักงานใหม่อย่างเราบังเอิญเจอกัน เราก็เอาแต่พร่ำบ่นและพูดเรื่องลาออก ในที่สุดเพื่อนร่วมงานก็ทยอยลาออกไปทีละคน จนกระทั่งเหลือผมอยู่คนเดียว
            เมื่อเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้ ผมจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยุดคิดเรื่องแย่ๆ เอาไว้ก่อน เพราะต่อให้พร่ำบ่นแค่ไหนก็ไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมา ผมเลยตัดสินใจเปลี่ยนมุมมองที่มีต่องานโดนสิ้นเชิง ผมขลุกอยู่กับการวิจัย ยอมทำงานหนักเท่าที่จะทำได้ ผมถึงกับเอาหม้อหุงต้มมาไว้ที่ห้องแล็บเพื่อจะได้ไม่ต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านเลยด้วยซ้ำ วิธีนี้ช่วยให้ผมทุ่มเทเวลาให้กับการทดลองได้อย่างเต็มที่
ทัศนคติที่เปลี่ยนไปเริ่มสะท้อนออกมาในงานที่ทำ ผมได้รับคำชมจากเจ้านาย ซึ่งยิ่งกระตุ้นให้ผมอยากทำงานให้หนักกว่าเดิม ผลงานที่ออกมาจึงยิ่งดีขึ้นไปอีก สุดท้ายผมก็สามารถสังเคราะห์เซรามิกเนื้อละเอียดสำหรับทำหลอดภาพโทรทัศน์ได้เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ความสำเร็จดังกล่าวเกิดจากกระบวนการที่ผมคิดค้นขึ้นเอง ซึ่งนั่นทำให้ผมได้รับการยอมรับจากเจ้านายยิ่งไปกว่าเดิมอีก ตอนนี้เองที่ผมค้นพบว่างานที่ทำก็น่าสนใจและมีความหมายเหมือนกัน ในที่สุดผมก็ไม่สนใจอีกต่อไปว่าจะได้เงินเดือนตรงเวลาหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นทักษะที่ผมพัฒนาขึ้นจากการทำงาน (ที่ผมเคยเกลียดในตอนแรก) ก็กลายเป็นสิ่งที่ช่วยปูเส้นทางสู่ความสำเร็จให้เคียวเซร่าในเวลาต่อมา
            หลังจากเปลี่ยนทัศนคติ ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป ผมทำลายวงจรอุบาทว์แล้วเข้าสู่วงจรแห่งความดีงามแทน ประสบการณ์ดังกล่าวทำให้ผมเชื่อว่าโชคชะตาของเราไม่ได้ถูกกำหนดไว้แบบตายตัว เราสามารถเลือกได้เองว่าจะเจอเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ความยากลำบากที่ต้องเผชิญในวัยหนุ่มทำให้ผมตระหนักถึงหลักการพื้นฐานที่ว่า ความรู้สึกนึกคิดของเราเป็นที่มาของทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต เหตุการณ์ต่างๆ ล้วนงอกเงยขึ้นจากเมล็ดพันธุ์ที่เราหว่านไว้ แม้กระทั่งคนที่เชื่อว่าการกระทำเป็นตัวลิขิตโชคชะตาก็ยังมีชีวิตขึ้นๆ ลงๆ ตามภาพที่พวกเขาวาดไว้ในหัว

            “โชคชะตา” นั้นมีอยู่จริงครับ แต่มันไม่ได้ถูกกำหนดไว้แต่อย่างใด เราจึงสามารถใช้ทัศนคติเปลี่ยนแปลงเส้นทางชีวิตได้ อันที่จริงแล้ว ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์เป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาได้ ชาวญี่ปุ่นเรียกแนวคิดนี้ว่า “ริตสึเม” หรือการวางเส้นทางชีวิตให้สอดคล้องกับความเป็นจริง เราเป็นคนวาดภาพลงบนผืนผ้าใบแห่งชีวิตด้วยตัวเอง โดยใช้ความคิดเป็นตัวแต่งแต้มสีสัน ดังนั้น คุณจึงสามารถกำหนดสีสันของชีวิตได้ด้วยภาพในหัวคุณ
.
.
.
แด่ทัศนคติและมุมมอง
StorySnap

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [5]

หลักการสำคัญที่เรียนรู้จากความเจ็บป่วย

ถึงตอนนี้ ผมได้แบ่งปันหลักการพื้นฐานในการดำเนินชีวิตกับคุณไปแล้วหนึ่งข้อ  นั่นคือ ความคิดเปลี่ยนชีวิตเราได้ อย่างไรก็ตาม ตัวผมเองก็ได้เรียนรู้จากความผิดพลาด ความล้มเหลวและความยากลำบากที่เกิดขึ้นซ้ำๆ สมัยยังหนุ่ม ทุกอย่างที่ผมคิดว่าจะผิดพลาดก็มักผิดพลาดจริงๆ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกอย่างถึงไม่เคยเป็นไปตามที่หวังเลย ผมรู้สึกเหมือนคนโชคร้ายที่ถูกพระเจ้าหรือโชคชะตาทอดทิ้ง ได้แต่ใช้ชีวิตซังกะตายไปวันๆ โดยไม่มีความสุขกับอะไรสักอย่าง ไม่นานผมก็กลายเป็นคนขมขื่นและรู้สึกแค้นเคืองโลกทั้งใบ แต่เมื่อต้องต่อสู้กับความล้มเหลวที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ผมก็เริ่มเข้าใจว่าต้นเหตุของความทุกข์ยากทั้งหมดคือความรู้สึกนึกคิดของผมเอง
                ผมเผชิญกับความล้มเหลวเป็นครั้งแรกมเมื่อสอบเข้าเรียนมัธยมต้นไม่ติด ซ้ำร้ายหมอยังวินิจฉัยว่าผมติดเชื้อวัณโรคอีก สมัยนั้นยังไม่มีวิธีรักษาวัณโรค และมันก็ได้คร่าชีวิตญาติผู้ใหญ่ ในครอบครัวของผมไปแล้วถึงสามคน ผมคิดในใจว่า “ไม่นานฉันคงอ้วกเป็นเลือดแล้วตายไปเหมือนกัน” ช่วงนั้นผมมีไข้ต่ำๆ และเอาแต่นอนอยู่บนเตียง จมอยู่กับความรู้สึกไร้ค่าและสิ้นหวัง
                เพื่อนบ้านคนหนึ่งคงรู้สึกเห็นใจ จึงให้ผมยืมหนังสือชื่อ เซเม โนะ จิสโซ ที่เขียนโดยทะนิกุจิ มะซะฮะรุ ผู้ก่อตั้งกลุ่มสัจธรรมแห่งชีวิต (เซโช โนะ อิเอะ) แม้เนื้อหาจะเข้าใจยากอยู่สักหน่อย แต่ตอนนั้นผมกำลังต้องการที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ จึงรีบพลิกอ่านอย่างกระตือรือร้น พออ่านจบผมก็พบว่า ความรู้สึกนึกคิดของคนเรามีแม่เหล็กที่คอยดึงดูดเคราะห์ร้ายเข้ามานั่นเอง
                ผมรู้สึกทึ่งกับแนวคิดดังกล่าว ทะนิกุจิอธิบายว่าทุกสิ่งที่เราพบเจอในชีวิตล้านเกิดขึ้นเพราะแรงดึงดูดจากความรู้สึกนึกคิด ความเจ็บป่วยก็เช่นกัน ถึงจะฟังดูโหดร้ายไปหน่อย แต่ตอน่านผมกลับรู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้พูดถูก ตอนคุณปู่ของผมเป็นวัณโรค ท่านพักอยู่ในตึกซึ่งอยู่ติดกับบ้านที่ผมอยู่ ครอบครัวผมจึงคอยดูแลท่าน แต่ผมกลัวติดโรคมากถึงขนาดกลั้นหายใจวิ่งทุกครั้งที่ต้องผ่านตึกนั้น ขณะที่พ่อผมไปดูแลคุณปู่ด้วยตัวเอง แม้แต่พี่ชายของผมก็ดูจะไม่ห่วงเรื่องนี้เลย เขายังบอกด้วยว่าวัณโรคไม่ได้ติดต่อกันง่ายขนาดนั้น ผมจึงเป็นคนเดียวในครอบครัวที่ไม่ยอมไปหาคุณปู่ และก็เป็นคนเดียวที่ติดเชื้อวัณโรคในเวลาต่อมา
                บางทีผมคงถูกลงโทษที่รังเกียจและพยายามหลีกหนีจากวัณโรคสุดชีวิต ความคิดและพฤติกรรมดังกล่าวจึงยิ่งดึงดูดโชคร้ายเข้ามา ผมติดเชื้อก็เพราะกลัว ผมเพิ่งมาคิดได้ว่าการนึกถึงแต่สิ่งที่ไม่ดีจะดึงดูดสิ่งไม่ดีเข้ามาจริงๆ ข้อความที่ทะนิกุจิเขียนไว้ทำให้ผมตระหนักว่าภาพในหัวสามารถเป็นจริงได้ พอได้มองย้อนถึงสิ่งที่ทำลงไป ผมก็สัญญากับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่าจะคิดถึงแต่สิ่งดีๆ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนวิธีคิดไม่ใช่เรื่องง่าย และผมก็มักลื่นไถลออกนอกเส้นทางของการคิดบวกอยู่บ่อยครั้ง
.....
(ติดตามได้ในบทความต่อไปค่ะ)

StorySnap




วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2558

ความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมพร้อมและการวางแผนอย่างรอบคอบ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [4]

ความสำเร็จต้องอาศัยการเตรียมพร้อมและการวางแผนอย่างรอบคอบ

เมื่อพยายามทำเรื่องแปลกใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน คุณย่อมได้ยินเสียงคัดค้าน แต่ถ้าคุณตั้งใจสร้างธุรกิจใหม่ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะทำสำเร็จและมองเห็นภาพความสำเร็จได้อย่างชัดเจน คุณก็จะสามารถก้าวไปข้างหน้าและคิดอะไรใหม่ๆ ขึ้นมาได้ในที่สุด ความคิดของคุณควรอยู่บนพื้นฐานของ “การมองโลกในแง่ดี” อย่างเด็ดเดี่ยว จึงเป็นเรื่องดีไม่น้อยถ้ามีคนที่มองโลกในแง่ดีอยู่รอบตัวเพื่อช่วยกระตุ้นให้จินตนาการของคุณโลดแล่น
                ในช่วงที่ดีดีไอเพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน ทุกครั้งที่เกิดแรงบันดาลใจ ผมจะเรียกกลุ่มผู้บริหารมาขอความเห็นเสมอ แต่ผมกลับค้นพบว่ายิ่งพวกเขาจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำที่มีชื่อเสียงมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งทำตัวเฉยชาและตำหนิว่าผมคิดไม่รอบคอบมากเท่านั้น แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาพูดก็มีส่วนจริงอยู่บ้าง แต่ถ้าเราได้รับแต่คำคัดค้านทุกครั้งที่คิดอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าความคิดนั้นจะดีแค่ไหนก็ต้องตกไปเป็นธรรมดา และสิ่งที่เป็นไปได้ก็จะดูเป็นไปไม่ได้ในที่สุด
                พอเจอเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งเข้า ผมจึงตัดสินใจเสนอความคิดกับคนอีกกลุ่มแทน โดยหันไปหาคนที่เปิดใจรับฟังความคิดเหนของผมอย่างกระตือรือร้น โดยไม่เอาแต่วิเคราะห์วิจารณ์งานใหม่ๆ ด้วยสายตาของคนมองโลกในแง่ร้ายที่ขี้ระแวง (ถึงข้อเสนอของผมอาจยังมีช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดอยู่บ้างก็เถอะ) เมื่อคุณกำลังคิดอะไรใหม่ๆ การอยู่ท่ามกลางคนที่มองโลกในแง่ดีก็ดูเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่า
                อย่างไรก็ตาม การมองโลกในแง่ดีจะใช้ได้ผลเฉพาะในช่วงที่เริ่มคิดอะไรใหม่ๆ เท่านั้น เมื่อเข้าสู่ขั้นตอนการวางแผน คุณจะต้องทำให้ความคิดของคุณจับต้องได้และมองโลกในแง่ร้ายเอาไว้ก่อน คุณต้องประเมินปัจจัยเสี่ยงอย่างรอบคอบ จากนั้นเมื่อเข้าสู่ขั้นตอนของการลงมือทำ คุณค่อยกลับมามองทุกอย่างในแง่ดีแล้วเดินหน้าทำสิ่งนั้นด้วยความมั่นใจ สรุปก็คือ “ในการเปลี่ยนความคิดให้กลายเป็นความจริง เราต้องเริ่มจากการมองโลกในแง่ดี วางแผนด้วยการมองโลกในแง่ร้าย และลงมือทำด้วยการมองโลกในแง่ดี”
                ผมมีโอกาสได้พูดคุยกับโอบะ มิตสึโร นักสำรวจที่ดีทางข้ามขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เพียงลำพังได้สำเร็จเป็นคนแรก และเขาก็เล่าถึงตอนที่เตรียมตัวออกเดินทาง ตอนนั้นโอบะมาที่บริษัทเคียวเซร่าเพื่อขอบคุณผม เนื่องจากทางบริษัทได้มอบอุปกรณ์หลายอย่างให้กับเขา ผมจึงกล่าวชื่นชมที่เขากล้าไปผจญภัยทามกลางอันตราย แต่โอบะกลับดูอึดอัดใจ “จริงๆ แล้วผมไม่ได้กล้าหาญอะไรเลย” เขาบอก “ผมขี้ขลาดจะตายไป แต่เพราะกลัวผมเลยเตรียมพร้อมอยู่เสมอ นั่นอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมคราวนี้ผมถึงทำสำเร็จได้อีกครั้ง ถ้านักผจญภัยมีแค่ความกล้าหาญแต่ขาดความรอบคอบก็คงไม่รอดชีวิตกลับมาแน่
                พอได้ยินอย่างนั้น ผมก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าสาขาอาชีพไหน คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่เข้าใจความจริงของชีวิตอย่างถ่องแท้ ถ้าคนเรากล้าหาญเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีความกลัว ความระมัดระวัง หรือความละเอียดถี่ถ้วนเลย มันก็เป็นแค่ความใจกล้าบ้าบิ่นเท่านั้น
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ


แด่ทุกการเตรียมพร้อม
StorySnap

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2558

ความฝันเป็นจริงได้เมื่อคุณมองเห็นมันในทุกรายละเอียด


เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [3]


ความฝันเป็นจริงได้เมื่อคุณมองเห็นมันในทุกรายละเอียด

หากต้องการบรรลุเป้าหมายเรื่องงานหรือเรื่องใดๆ ก็ตามในชีวิต เราควรพยายามบรรลุเป้าหมายนั้นในแง่มุมที่ดีที่สุดเสมอ โดยพยายามจดจ่ออยู่กับมันจนถึงขั้นที่สามารถนึกภาพขึ้นมาในหัวได้ นี่เป็นกระบวนการสำคัญในการเปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นจริง เพราะเมื่อเราตั้งเป้าหมายไว้สูงและพยายาม ทำให้ภาพในอุดมคติกลายเป็นจริง  เมื่อนั้นเราก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ เป้าหมายที่มีภาพชัดเจนในหัวตั้งแต่แรกจะให้ผลลัพธ์ที่เฉียบคมจนบาดมือได้ ในทางตรงข้าม หากเราไม่สามารถนึกภาพเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ต่อให้เราทำสำเร็จผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะไม่เฉียบคม ซึ่งในชีวิตผมก็เจอเรื่องแบบนี้มาซ้ำแล้วซ้ำเล่า
                ตอนที่บริษัทดีดีไอ (ปัจจุบันคือเคดีดีไอ) ก้าวเข้าสู่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ ผมประกาศต่อหน้าผู้บริหารทุกคนว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุคแห่งโทรศัพท์มือถือ และในอนาคตอันใกล้ทุกคนจะสื่อสารกันได้ทุกที่ทุกเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ผมยังยืนยันด้วยว่าผู้คนทุกเพศทุกวันจะมีเบอร์โทรศัพท์เป็นของตัวเอง ถึงแม้ผู้บริหารคนอื่นๆ จะส่ายหัวและพากันหัวเราะเพราะไม่เชื่อว่ามันจะเป็นจริง แต่ตอนนั้นผมมองเห็นภาพชัดเจนเลยว่า อุปกรณ์ที่มีศักยภาพอันไร้ขีดจำกัดอย่างโทรศัพท์มือถือจะแพร่หลายได้อย่างไรและรวดเร็วแค่ไหน จริงๆ แล้วผมถึงขั้นมองเห็นราคา ขนาดเครื่อง กลยุทธ์การตลาด และช่องทางจัดจำหน่ายเลยด้วยซำ
                เนื่องจากผมเคยทำงานในธุรกิจผลิตตัวนำไฟฟ้าและกลุ่มกิจการอื่นๆ ของเคียวเซ่า จึงได้เห็นว่าเทคโนโลยีพัฒนาไปเร็วแค่ไหน ทั้งในแง่ของขนาดและราคาสินค้า ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ผมมีความรู้มากพอจะคาดการณ์ขยายตัวของตลาดโทรศัพท์มือถือได้อย่างแม่นยำ อันที่จริงผมไม่ได้คาดการณ์แค่เรื่องขนาดของตลาด แต่ยังประเมินอัตราค่าบริการในอนาคตเอาไว้ด้วย ในระหว่างการประชุมครั้งนั้น ผู้จัดการทั่วไปของดีดีไอได้บันทึกคำคาดการณ์ของผมเอาไว้ด้วย ต่อเมื่อเราเปิดตัวธุรกิจโทรศัพท์มือถือจริงๆ เขาก็ย้อนไปดูบันทึกและค้นพบเรื่องอัศจรรย์ เพราะอัตราค่าบริการของเราแทบจะตรงกับที่ผมเคยคาดไว้ไม่มีผิด
                ในการกำหนดราคาสินค้า ปกติแล้วเราต้องนำปัจจัยต่างๆ มาคำนวนอย่างละเอียด เช่น ความสมดุลระหว่างอุปสงค์กับอุปทาน จุดคุ้มทุน ฯลฯ แต่ผมสามารถมองเห็นภาพค่าบริการได้ก่อนหน้าที่การคำนวณใดๆ จะเริ่มขึ้นเสียอีก ผู้จัดการทั่วไปถึงกับตกตะลึงกับความแม่นยำของผม นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงพลังของการจินตนาการ คุณจะสามารถบรรลุทุกสิ่งที่คุณนึกภาพได้อย่างชัดเจน พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกอย่างที่เรามองเห็นในหัว เราย่อมทำได้ แต่ถ้าเรามองไม่เห็นก็ทำไมได้ ดังนั้น หากต้องการผลลัพธ์บางอย่าง คุณก็ต้องจดจ่ออยู่กับมันจนกลายเป็นความปรารถนาอันแรงกล้า และเมื่อนั้นคุณจะ “มองเห็น” ภาพความสำเร็จอย่างชัดเจน
                ความจริงที่ว่าเราสามารถปรารถนาจะเป็นบางอย่างหรือทำบางสิ่งให้สำเร็จถือเป็นข้อพิสูจน์ว่า เรามีความสามารถในการทำฝันให้กลายเป็นจริงติดตัวมาตั้งแต่เกิด เพราะส่วนใหญ่แล้วเราคงไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ ดังนั้น หากคุณหลับตาแล้วสามารถนึกภาพตัวเองบรรลุเป้าหมายได้อย่างชัดเจน คุณก็น่าจะสามารถทำสำเร็จได้จริงๆ
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

แด่ทุกๆความฝัน

StorySnap


วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2558

นึกภาพการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจนสุดๆ

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [2]

หัวข้อเรื่อง "นึกภาพการบรรลุเป้าหมายให้ชัดเจนสุดๆ"

การอ้างว่าความปรารถนาเป็นจุดกำเนิดของความสำเร็จอาจฟังดูไม่ค่อยเป็นวิทยาศาสตร์ จนหลายคนมองว่าเป็นแค่เรื่องหลอกลวงและเลือกที่จะมองข้ามไป แต่ประสบการณ์สอนผมว่า หากหมั่นนึกถึงความคิดใดๆ ก็ตามอยู่ตลอด ผมจะสามารถ “มองเห็น” ผลลัพธ์ของมันได้อย่างชัดเจน
                ความสำเร็จทุกอย่างในชีวิตล้วนเริ่มต้นจากการอยากทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างรุนแรง ผมจึงลองนึกถึงสิ่งที่อยากทำและจัดลำดับขั้นตอนในการทำให้มันสำเร็จ โดยมองหาหนทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้วนึกภาพขึ้นมาในหัวเหมือนนักหมากรุกที่คำนวณการเดินหมากล่วงหน้าไว้เป็นหมื่นๆ แบบ ผมจะคิดถึงขั้นตอนทั้งหมดซ้ำไปซ้ำมา ตัดกลยุทธ์ที่เห็นว่าไม่ได้ผลออกไป แล้วปรับเปลี่ยนแผนใหม่อยู่เสมอ นั่นทำให้ผมเริ่ม “มองเห็น” เส้นทางสู่ความสำเร็จได้อย่างชัดเจนราวกับเคยเดินผ่านมาก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เคยเป็เพียงความฝันจะเริ่มเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นทุกที จนในที่สุดทั้งงสองอย่างก็มาบรรจบกัน ผมสามารถวาดภาพความสำเร็จในหัวได้เป็นฉากๆ ผมเห็นมันเกิดขึ้นต่อหน้าต่อตาเป็นภาพสีคมชัด ไม่ใช่แค่ภาพขาวดำธรรมดา กระบวนการที่เกิดขึ้นคล้ายคลึงกับเทคนิคการฝึกด้วยจินตนาการในแวดวงกีฬา โดยภาพความคิดนั้นจะชัดเจนมากจนนักกีฬาเห็นมันเกิดขึ้นตรงหน้าจริงๆ
                ในทางกลับกัน ถ้าเราไม่นึกถึงผลลัพธ์ที่ต้องการตลอดเวลา ไม่มีความปรารถนาอันแรงกล้า และไม่วาดภาพในหัวอย่างชัดเจน เราก็แทบไม่มีหวังที่จะประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ผลงานหรือเป้าหมายใดๆ ในชีวิต ผมจะพูดถึงการพัฒนาสินค้าใหม่เป็นตัวอย่างนะครับ ปกติแล้วสินค้านั้นควรมีลักษณะเฉพาะและมีคุณสมบัติการใช้งานแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่เดิม ถ้าไม่มีการค้นหาสุดยอดคุณสมบัติระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์ สินค้าที่ออกมาจะด้อยคุณภาพ ต่อให้มันตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ก็ตาม หากสินค้าถูกพัฒนาขึ้นตามมาตรฐาน “ทั่วไป” มันก็ย่อมดีไม่พอที่จะเจาะตลาดในวงกว้างได้
                เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงนักวิจัยคนหนึ่งของบริษัท ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ เขาใช้เวลาเป็นเดือนๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขึ้นมา แต่พอเขานำมาเสนอ ผมมองแค่ปราดเดียวก็พูดว่า “ยังไม่ดีพอ”
                “หมายความว่าไงครับ” เขาถาม “ผมทำตามที่ลูกค้าต้องการทุกอย่างแล้วนะ”
                “ผมว่ามันควรจะดีกว่านี้” ผมบอกเขา “สีดูจืดชืดไปหน่อย”
                “ทำไมทำตัวไร้เหตุผลแบบนี้” เขาโต้กลับ “คุณเป็นวิศวกรนะ น่าจะรู้ว่าเรื่องสีไม่สำคัญสำหรับสินค้าอุตสาหกรรม เกณฑ์การประเมินของคุณไม่เป็นวิทยาศาสตร์เอาเสียเลย”
                “คุณจะว่าผมไร้เหตุผลก็ได้ แต่มันยังไม่เหมือนที่ผมคิดไว้” ผมยืนกรานให้เขากลับไปลองทำใหม่ ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า เขาโมโหมากขนาดไหนที่โดนปฏิเสธผลงานซึ่งอุตส่าห์ทุ่มเททำมา แต่ที่ผมปฏิเสธก็เพราะผลงานของเขายังไม่ตรงกับภาพในหัวผม สุดท้ายเขากับทีมงานก็สามารถสร้างสินค้าในฝันได้สำเร็จหลังจากพยายามแก้ไขกันอยู่หลายรอบ

                พ่อแม่ของผมชอบใช้คำว่า “เฉียบคมจนบาดมือได้” เพื่อบรรยายถึงสิ่งที่ประณีตมากจนหาข้อผิดพลาดไม่เจอ เมื่อสินค้าได้รับการพัฒนาถึงจุดที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ มันจะดูน่าตื่นตาตื่นใจเสียจนเราแทบไม่กล้าแตะต้อง ดังนั้น หากอยากสร้างสรรค์ผลิตภัฑ์ให้ไปถึงจุดสูงสุดก็อย่ามัวแต่ออมแรง จงออกตามหาความสมบูรณ์แบบนั้นให้เต็มที่
.
.
.
ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

แด่ทุกเป้าหมายอันดี

StorySnap



วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2558

เปลี่ยนความปรารถนาให้กลายเป็นจริง

เนื้อหาจากหนังสือเรื่อง "ช้า ให้ ชนะ" เขียนโดย "คาซุโอะ อินาโมริ" [1]

หัวข้อเรื่อง "เปลี่ยนความปรารถนาให้กลายเป็นจริง"

“คุณจะได้ในสิ่งที่ขอ” คือกฏของชีวิต
“ชีวิตไม่เคยได้ดั่งใจ” เราอาจเคยมีมุมมองอันคับแคบเช่นนี้ ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต แต่ความคิดแบบนี้แหละครับ คือสิ่งที่ผลักดันให้ชีวิตของเราเป็นแบบนั้น เมื่อเราคิดไว้แล้วว่าชีวิตจะต้องไม่เป็นไปตามที่ต้องการ มันก็จะไม่เป็นไปตามที่ต้องการจริงๆ นั่นแสดงให้เห็นว่าถ้าคาดหวังไว้อย่างไรชีวิตก็จะเป็นไปอย่างนั้น

หลักการสู่ความสำเร็จมากมายตั้งอยู่บนความเชื่อที่ว่า ชีวิตคือภาพสะท้อนของความคิด ประสบการณ์ส่วนตัวทำให้ผมเชื่อเรื่องนี้มาก ผลลัพธ์ที่เราจดจ่อจะถูกดึงดูดเข้าหาเราโดยอัตโนมัติ และมีเพียงสิ่งที่เราปรารถนาอย่างแรงกล้าเท่านั้น ที่จะกลายเป็นจริง ถ้าไม่นึกถึงภาพผลลัพธ์ที่ชัดเจนไว้ในใจ เราก็จะไม่มีทางได้มันมา ความคิดและความปรารถนาจึงเป็นตัวกำหนดความเป็นจริงในชีวิตของเรา ถ้าคุณอยากทำอะไรสักอย่างให้สำเร็จ ขึ้นแรกคุณจะต้องจดจ่อกับภาพของคนที่คุณอยากป็นหรือสถานการณ์ที่อยากให้เกิดขึ้น คุณจะต้องคิดภาพนั้นไว้ในใจและปรารถนาถึงมันอย่างแรงกล้าที่สุด

ผมตระหนักถึงพลังของความคิดเป็นครั้งแรกเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน ตอนที่เข้าฟังการบรรยายของมัตสึชิตะ โคโนะซุเกะ หรือที่ชาวญี่ปุ่นขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งการบริหารจัดการ” ตอนนั้นมัตสึชิตะยังไม่เป็นที่นับหน้าถือตาเท่าทุกวันนี้ และผมก็เพิ่งเริ่มก่อตั้งบริษัทเล็กๆ ที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก ในการบรรยายครั้งนั้น มัตสึชิตะพูดถึงทฤษฏีการบริหารแบบสร้างเขื่อนอันโด่งดังของเขา หลักการมีอยู่ว่า ถ้าเราไม่สร้างเขื่อน น้ำก็จะท่วมทะลักออกมาจากแม่น้ำทุกครั้งที่ฝนตกหนัก และจะแห้งเหือดไปเมื่อถึงฤดูแล้ง แต่ถ้าสร้างเขื่อนเราจะมีอำนาจควบคุมเหนือแม่น้ำ โดยไม่ต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป เขาบอกว่าหลักการนี้สามารถประยุกต์ใช้กับการบริหารจัดการได้เช่นกัน โดยแนะนำให้บริษัทต่างๆ เก็บสำรองทรัพยากรและเงินทุนส่วนเกินเอาไว้ใช้ในยามขาดแคลน

ด้วยความที่นั่งอยู่หลังห้อง ผมจึงสัมผัสถึงคลื่นความไม่เห็นด้วยที่ก่อตัวขึ้นในหมู่ผู้ฟังได้อย่างชัดเจน คนส่วนใหญ่เป็นผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็กและขนาดการเหมือนกับผม พวกเขาต่างบ่นพึมพำว่า “หมอนี่พูดเรื่องอะไรกัน” “เราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้ามีช่องทางให้ทำได้เราคงไม่ต้องปากกัดตีนถีบกันขนาดนี้ รู้อยู่แล้วล่ะว่าต้องมีทุนสำรอง แต่ปัญหาคือเราไม่รู้ว่าจะหามาได้ยังไงน่ะสิ”
เมื่อถึงช่วงตอบคำถาม ผู้ชายคนหนึ่งก็ลุกขึ้นแล้วพูดอย่างฉุนเฉียวว่า “ไอ้หลักการบริหารแบบสร้างเขื่อนนี่มันฟังดูดีอยู่หรอกนะ แต่เราคงทำไม่ได้หรอก คุณไม่คิดจะบอกเราหน่อยเหรอว่าจะสร้างเขื่อนนั้นได้ยังไง”

รอยยิ้มเจื่อนๆ ปรากฎบนใบหน้าอ่อนโยนของมัตสึชิตะ เขานิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “บอกตามตรงนะครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำยังไง แต่ผมก็อยากจะสร้างมันขึ้นมาให้ได้” ดูเหมือนว่าเขาจะตอบไม่ตรงคำถาม ผู้ฟังจึงได้แต่หัวเราะอย่างอิหลักอิเหลื่อ คนส่วนใหญ่ดูจะผิดหวังกับคำตอบที่ได้รับอย่างเห็นได้ชัด ทว่าคำพูดของมัตสึชิตะกลับทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เขาเพิ่งจะเผยให้เห็นถึงความจริงที่ลึกซึ้งข้อหนึ่ง

สิ่งสำคัญคือต้องจดจ่อกับสิ่งที่ต้องการ ทั้งยามหลับและยามตื่น

คำพูดของมัตสึชิตะทำให้ผมตระหนักว่าความปรารถนาสำคัญอย่างไร เขามองว่าไม่มีประโยชน์ที่จะมานั่งสอนวิธีสร้างเขื่อนเพราะแต่ละคนก็มีวิธีและขั้นตอนในแบบของตัวเองอยู่แล้ว ดังนั้นสิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ “เราต้องอยากสร้างเขื่อนเสียก่อน” เพราะความปรารถนาคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง

เมื่อใดที่หัวใจร่ำร้อง เมื่อนั้นเราจึงมองเห็นเป้าหมายและพบหนทาง แล้วความสำเร็จก็จะรออยู่ไม่ไกล นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ความปรารถนาอันแรงกล้าเป็นสิ่งสำคัญมาก เมื่อเราอยากได้อะไรสักอย่าง ถ้าชีวิตคือภาพสะท้อนของความคิดความปรารถนาก็เป็นพลังสำคัญที่จะช่วยให้ฝันเป็นจริง เช่นเดียวกับการหว่านเมล็ดพันธุ์ลงในสวนแห่งชีวิต ความปรารถนาจะหยั่งรากลงดิน แตกกิ่งก้านขึ้นสู่ท้องฟ้า และผลิดอกออกผล นี่คือความจริงที่ผมได้เรียนรู้จากมัตสึชิตะ หลังจากวันนั้นผมก็ได้สัมผัสกับมันด้วยตัวเองและนำมาปรับใช้กับชีวิตในที่สุด

ความปรารถนาแบบครึ่งๆ กลางๆ จะไม่มีวันนำไปสู่ผลลัพธ์ที่คุณคาดหวัง คุณต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าอยู่ในใจตลอดเวลาว่าจะยามหลับหรือยามตื่น ทั้งยังต้องปล่อยให้มันไหลเวียนไปทั่วตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ชนิดที่ว่าถ้าโดนมีดบาด สิ่งที่ไหลทะลักออกมาจะไม่ใช่เลือดแต่เป็นความปรารถนาของคุณ ความปรารถนาอันแรงกล้าเช่นนี้เองที่จะเป็นพลังขับเคลื่อนเบื้องหลังทุกความสำเร็จ

หากคนสองคนมีความสามารถและความพยายามเท่าๆ กัน แต่คนหนึ่งล้มเหลวขณะที่อีกคนประสบความสำเร็จ หลายคนมักจะสรุปว่าเป็นเพราะโชควาสนาที่ต่างกัน แต่จริงแล้วเกิดจากวามปรารถนาที่มีขนาดไม่เท่ากัน ลึกซึ้งไม่เท่ากัน และแรงกล้าไม่เท่ากันต่างหาก บางคนอาจคิดว่าผมมองโลกในแง่ดีจนไร้เดียงสาเกินไปหน่อย แต่อย่าลืมว่าการจดจ่ออยู่กับเป้าหมายหนึ่งเดียวจนลืมกินลืมนอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และการจะคงไว้ซึ่งความปรารถนาอันแรงกล้าจนมันซึมลึกเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกก็ใม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน

ในการบริหารธุรกิจและการสร้างธุรกิจใหม่ๆ สัญชาตญาณมักบอกเราว่าการทำสิ่งแปลกใหม่จะนำไปสู่ความล้มเหลวอย่างแน่นอน แต่หากปล่อยให้สัญชาตยาณชี้นำการกระทำอยู่ตลอด เราก็คงไม่เป็นอันทำอะไร ดังนั้น ถ้าคุณอยากลงมือทำอะไรแปลกใหม่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือจดจ่ออยู่กับสิ่งนั้นตลอดเวลา ถ้าอยากทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้สำเร็จ คุณก็ต้อง “คลั่งไคล้” และทุ่มเทอย่างหนักด้วยความเชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้ เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในชีวิตและธุรกิจได้ตามที่ตั้งใจ
.
.
.


ติดตามอ่านเนื้อหาดีๆเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ

แด่ทุกความปรารถนาอันดี
StorySnap