วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ดูช่วงเวลาของคุณ"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[9]

ก็อย่างที่คุณคิดเอาไว้นั่นแหละว่าเวลาของพระเยซูช่างลงตัวไปเสียหมด มันไม่เคยเกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ทุกอย่างมีนัยสำคัญเสมอ เพราะว่าจังหวะเวลาของพระองค์นั้นช่างวิจิตรบรรจง แต่ละกิจกรรมนั้นทรงอิทธิพลอย่างยิ่ง

ดังนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่พระองค์ทรงกระทำการอัศจรรย์ครั้งแรกในพิธีสมรส นี่คือการประทับตราและบอกถึงความสำคัญของการแต่งงาน ช่วงเวลาของพระองค์ในการเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม การยอมให้จับตรึงกางเขน และการกลับฟื้นขึ้นมาจากความตาย (เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นระหว่างเทศกาลหัสกา) นี่เป็นกลยุทธ์อันชาญฉลาดของพระองค์

ในระหว่างเทศการปัสกา ชาวยิวจากทั่วสารทิศเดินทางมายังกรุงเยรูซาเล็ม ดังนั้น พวกเขาจึงเป็นพยานถึงเหตุการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจที่เกิดขึ้นกับพระเยซู ที่สำคัญกว่านั้นคือ หลายคนได้กลับใจจากความบาปของเขา เพราะคำเทศนาที่เร้าใจและจับใจของเปโตร และคนเหล่านี้ได้กลับไปยังบ้านเกิดเมืองนอนของเขาในฐานะผู้กลับใจใหม่ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเปาโบและอัครทูตคนอื่นๆ เดินทางออกจากกรุงเยรูซาเล็มเพื่อประกาศเรื่องราวของพระเยซู พวกเขาพบว่าพันธมิตรเหล่านี้กำลังรอคอยและยินดีต้อนรับพวกเขา พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นจากศูนย์ในการสร้างองค์กรท้องถิ่น ช่วงเวลาอันชาญฉลาดก่อให้เกิดผลอันยิ่งใหญ่

ดังนั้น ช่วงเวลาจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องนำมาพิจารณาในการวางแผนบริษัท การประชาสัมพันธ์ครั้งสำคัญควรกระทำในช่วงเวลาที่จะก่อให้เกิดอิทธิพลสูงสุด ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ควรจะถูกแนะนำในโอกาสเหมาะๆ เช่น โยงมันเข้ากับการฉลองครบรอบอย่างมีนัยสำคัญและวันหยุดราชการ

ช่วงเวลาควรนำมาพิจารณาเมื่อต้องแจ้งข่าวร้ายที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งทุกองค์กรต้องทำอยู่เป็นระยะ คำถามสำหรับคุณก็คือ เมื่อไรจึงเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับการแถลงข่าวต่อสังคมซึ่งส่งผลกระทบต่อภาพลักขององค์กรน้อยที่สุด

ช่วงเวลาเป็นเคล็ดลับในความสำเร็จของพระเยซู คุณเองก็จงทำอย่างเดียวกัน


วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ยืนกรานในความถูกต้อง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[8]

นับจากสังฆราชผู้มีความรู้ไปจนถึงคนที่พูดว่าตนเองมีความรู้ที่ไม่เคยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เราได้ยินกันว่าการยืนกรานในความถูกต้องไม่อาจแก้ไขปัญหาทางด้านการเมืองได้ จากสัจธรรมไปจนถึงความยุติธรรม คนพูดกันว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกัน คุณรู้สึกอย่างไรกับคำพูดเหล่านี้ พวกเขาพูดว่า  “ความคิดที่ตรงกันข้ามกันอาจจะจริงทั้งคู่ เพราะว่ามันไม่มีความจริงที่สมบูรณ์”

จงอย่าพยายามดำเนินธุรกิจของคุณด้วยความคิดที่เหลวไหลแบบนี้ พระเยซูทรงยืนกรานว่า สิ่งหนึ่งดีและอีกสิ่งหนึ่งชั่วร้าย พระองค์ทรงยืนกรานแม้กระทั่งว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่จะกลับคืนดีกับพระองค์ได้ และทางเดียวนั้นก็คือการมีความเชื่อในพระองค์ พระองค์ตรัสถึงความยากลำบาก ตรัสถึงความเชื่อที่ไม่ต้องมีข้อพิสูจน์ พระเยซูไม่เคยพูดเป็นสองนัย ความจริงใจไม่มีความหมายกับพระองค์ถ้าสิ่งที่คุณเชื่อนั้นไม่ถูกต้อง

การขาดความไม่แน่นอนจะนำองค์กรไปสู่ปัญหานานาประการนับตั้งแต่การลักเล็กขโมยน้อยไปจนถึงคดีอุกฉกรรมจ์ มันจะนำไปสู่ผลผลิตและการดำเนินงานที่ไร้คุณภาพ คำว่า “ผมไม่เห็นว่าจะเสียหายตรงไหน” คือข้อแก้ตัวง่ายๆ สำหรับทุกเรื่องนับตั้งแต่การฉ้อโกงเรื่องหุ้น ไปจนถึงการเพิ่มสารนิโคตินที่เป็นอันตรายในบุหรี่ จนกระทั่งการสร้างรถยนต์ที่มีถังเชื้อเพลิงที่เป็นอันตราย

ในฐานะบริษัทและในฐานะผู้จัดการ จงสั่งสอนทางที่ถูกต้อง ยืนกรานในทางที่ถูกต้องนั้น จงเป็นแบบอย่างในการทำธุรกิจที่ถูกต้อง จงทำตามแบบอย่างของพระเยซู




วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"การสร้างสิทธิอำนาจ"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[7]

พระเยซูไม่ได้เป็นผู้นำองค์กรประชาธิปไตย พระองค์ไม่เคยเรียกร้องให้มีการลงมติในสิ่งที่ควรนจะปฏิบัติตาม พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบ สิทธิอำนาจของพระองค์ขึ้นอยู่กับหนังสือพระคัมภีร์และหน้าที่ที่พระองค์ได้รับมอบหมายจากพระเจ้าพระบิดา แต่กระนั้นพระองค์ก็ทรงยอมจำนนต่อสิทธิอำนาจที่ “สูงกว่า” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42)

ขณะที่การเป็นผู้นำแบบไม่มีสิทธิอำนาจเด็ดขาดกำลังใจได้รับการยกย่อง แต่ต้องไม่ลืมว่าไม่เคยมีองค์กรไหนที่ประสบความสำเร็จเอาไว้ได้โดยปราศจากสิทธิอำนาจสูงสุด ลองถามผู้นำองค์กรที่ยิ่งใหญ่ดูซิ เคยมีคนสงสัยไหมว่าใครคือเจ้านาย เมื่อไอแอคโคคาอยู่กับไครเลอร์ วัตสันอยู่กับไอบีเอ็ม เพรอทอยู่กับ EDS และบัพเฟทอยู่กับเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ แล้วใครคือนายใหญ่ของวอลมาร์ทล่ะ แน่นอนคุณต้องตอบว่า แซม วอลตัน

การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ อาจเป็นเรื่องที่ทำได้ในขอบเขตจำกัด แต่ก็ต้องมีใครสักคนที่เป็นผู้ตัดสินใจตัวจริง  เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจ จงทำให้แน่ใจว่าไม่มีข้อสงสัยว่าใครคือผู้กุมบังเหียนในองค์กรของคุณ จงรู้สึกขอบเขตในสิทธิอำนาจของคุณและจงใช้มัน จงสร้างและคงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ



วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"ฝึกฝนการสนทนาส่วนตัว"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[6]

พระเยซูทรงสั่งสอนในทุกสถานการณ์ พระองค์พูดกับผู้ฟังที่เป็นกลุ่มใหญ่ กับคนที่มาร่วมในงานเลี้ยงอาหารค่ำ และกับคริสตจักร (ธรรมศาลา) แต่อย่างไรก็ตาม การสอนที่สำคัญและมีความหมายยิ่งของพระองค์คือ การสอนคนในกลุ่มเล็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนสนิทวงในอย่างเช่น เปโตร ยากอบ และยอห์น เมื่อพระองค์ต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจประเด็นของพระองค์โดยไม่ผิดเพี้ยน พระองค์จะใข้การสอนแบบตัวต่อตัว

น้องชายในฝ่ายโลกของพระเยซูคือยากอบ (ไม่ใช่สาวก) ไม่เข้าใจถึงความเป็นพี่น้องในฝ่ายวิญญาณ จนกระทั่งทั้งสองคนได้ใช้เวลาร่วมกันตามลำพัง หลังจากนั้นยากอบก็กลายมาเป็นผู้นำและผู้ดำเนินการกิจกรรมต่างๆ ขององค์กรที่พระเยซูทรงตั้งขึ้นในกรุงเยรูซาเล็มในที่สุด ยากอบก็ยอมตายเพราะความเชื่อในพระเยซู และนี่แหละคือการสอนที่ทรงประสิทธิภาพที่สุด

จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่ผู้นำองค์กรจะให้เวลาและคำแนะนำที่มีคุณภาพกับผู้ช่วยที่เขาไว้วางใจ แล้วผลที่จะเกิดขึ้นตามมานั้นช่างยิ่งใหญ่จริงๆ


วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"สอน สอน และสอน"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[5]

การบริการเพื่อสาธารณะมีคำพูดว่า “จงเป็นครูจงเป็นวีรบุรุษ” เราอาจจะพูดกับผู้จัดการบริษัทว่า “จงเป็นครู จงประสบความสำเร็จ” ตำนานของธุรกิจยักษ์ใหญ่นับตั้งแต่ เฮนรี่ ฟอร์ด ไปจนถึง ทอม วัตสัน และรอสส์ เพรอท คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มีความอุตสาหะและเป็นครูผู้สร้างแรงบันดาลใจ พวกเขาอาจจะได้รับแรงบันดาลใจนั้นมาจากพระเยซู ผู้ทรงเป็นบรมครู

พระเยซูมักถูกเรียกว่า รับไบ ซึ่งหมายถึงครู และพระองค์ทรงมั่นคงในการสอน การสั่งสอนที่ชาญฉลาดของพระองค์ปรากฏอยู่ในหนังสือเล่มต่างๆ ของพระคัมภีร์ใหม่ เช่นมัทธิว มาระโก ลูกาและยอห์น ซึ่งได้สะท้อนให้เห็นถึงความรู้ความเข้าใจของพระองค์ ความสามารถในการเป็นครูของพระองค์แสดงออกมาให้เห็นผ่านทางความสำเร็จของนักเรียนของพระองค์ สาวกของพระองค์ เมื่อพวกเขาได้สืบทอดแผนการโครงการต่างๆ ของพระองค์

ผู้นำธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ จะไม่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้เสื้อสูทของนักบริหาร พวกเขาจะหาหนทางที่จะสอนให้ความรู้เรื่องธุรกิจและแนวความคิดกับคนที่อยู่รอบข้างเขา จงเป็นเหมือนพระเยซู จงเป็นครูและจงประสบความสำเร็จ



วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เติมเต็มในจุดสำคัญและกำจัดอุปสรรคทุกทาง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[4]

ความผิดพลาดที่ร้ายแรงอย่างหนึ่งที่บริษัทของเราเคยทำคือ ไม่พยายามอย่างเต็มที่ในการค้นหาพนักงานที่มีความรู้ความสามารถบรรจุลงในจุดที่สำคัญ แต่ถ้าเราดูแบบอย่างของพระเยซู เราก็คงไม่ทำผิดพลาดเช่นนี้

แม้ว่าพระองค์จะมีผู้ติดตามที่ยิ่งใหญ่แล้วถึงสิบสองคน แต่กระนั้นพระองค์ก็ยังเห็นถึงความจำเป็นที่จะเพิ่มคนที่เก่งๆ เข้าไปในองค์กรของพระองค์อีก อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงทำทุกอย่างเพื่อจะได้ชายคนนี้เข้ามาอยู่กับพระองค์

ขณะที่เซาโลแห่งทาร์ซัสกำลังเดินทางไปยังเมืองดามัสกัส พระเยซูทรงกระทำให้ชายผู้นี้ล้มลงและทำให้เขาตาบอดด้วยแสงเจิดจ้าจากท้องฟ้า พระเยซูทรงสำแดงพระองค์และบอกเซาโล (ซึ่งต่อมากลายเป็นอัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ที่มีนามว่าเปาโลหรือพอล) ว่าเขาจะต้องทำอะไร นี่ช่างเป็นการเกณฑ์คนเข้ามาทำงานอย่างอุกอาจที่สุด

ผมกล้าพูดได้ว่า การที่พระเยซูทรงนำเปาโลมาร่วมงานนั้นเป็นการจ้างงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่องค์กรของมนุษย์เคยทำ เปาโลกลายเป็นผู้บริหารงานที่นำคนมากมายมาสู่องค์กร เป็นผู้ระดมทุนสำหรับองค์กร เป็นผู้เปิดสาขาใหม่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือเป็นคนที่ซื่อสัตย์และเป็นผู้เผยแพร่เรื่องราวขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เขาบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูได้ดียิ่งกว่าใครๆ บ่อยกว่าใครๆ และประสบความสำเร็จมากกว่าใครๆ และเขายังคงเล่าเรื่องราวดังกล่าวผ่านทางจดหมายฉบับต่างๆ ของเขาที่ยังหลงเหลืออยู่

เปาโลคือสุดยอดของ “เจ้าหน้าที่คนสำคัญ และการดึงเขามาร่วมงานนั้น ได้ให้บทเรียนมากมายสำหรับเราผู้ซึ่งกำลังพยายามสร้างองค์กรในทุกวันนี้

ประการแรก เมื่อจะต้องเติมเต็มในจุดสำคัญและคุณได้พบคนที่เหมาะสมสำหรับงานนั้นแล้ว จงทำทุกอย่างเพื่อจะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ และอย่าปล่อยให้อัตราเงินเดือน กฏระเบียบหรือธรรมเนียมมาเป็นอุปสรรค ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตาม อย่าถามตัวเองว่า “จะทำอย่างไรที่จะได้เขามาโดยจ่ายเงินเดือนน้อยที่สุด” ในทางตรงกันข้าม จงถามตัวเองว่า “ผมจะเสนอเงินเดือนให้เขาได้มากที่สุดเท่าไรเพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าผมต้องการเขามากเพียงไร” คุณไม่อาจใช้แสงสว่างจากท้องฟ้าเพื่อทำให้เขาตาบอดเหมือนที่พระเยซูทำได้ แต่คุณควรจะสะกดความคิดของเขาด้วยข้อเสนอของคุณ หากตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญ และคนๆ นี้คือคนที่เหมาะสม จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ

หากตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่สำคัญและคนๆ นี้คือคนที่เหมาะสม จงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะได้เขาหรือเธอมาทำงานกับคุณ

ประการที่สอง อย่ามองข้ามคนสำคัญคนนี้เพียงเพราะกลัวว่าพนักงานเดิมจะเกิดความรู้สึก บางครั้งบริษัทของเราทำผิดพลาดที่ไม่กล้ารับผู้บริหารระดับสูง เพราะเรารู้ว่าเราจะต้องให้เขาอยู่ในระดับที่เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ปัจจุบัน และเรากลัวว่าเขาจะไม่พอใจ นี่เป็นความคิดที่ใช้ไม่ได้ การตัดสินใจของบริษัทไครเลอร์ในการนำ ลี ลาคอกคา มาทำงานกับบริษัท ไม่เพียงเป็นผลดีต่อบริษัทเท่านั้น แต่ยังเป็นผลดีต่อผู้บริหารที่จะสืบทอดงานต่อไปด้วย เขาได้ปกป้องไครเลอร์และทำให้ทุกคนที่เข้าร่วมงานกับบริษัทประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น

สาวกรุ่นแรกทั้งหมดของพระเยซูโดยเฉพาะเปโตร ยากอบและยอห์น (ซึ่งอยู่กับพระเยซูตั้งแต่เริ่มแรกทั้งสามคนเคยแสดงความกังวลต่อสถานภาพของตนเอง) คงจะรู้สึกไม่พอใจทั้งวิธีการเข้ามาทำงานของเปาโลและสภานภาพของเปาโลในองค์กร สาวกรุ่นแรกเหล่านี้ใช้เวลากับพระเยซูถึงสามปี เดินทางไปตามถนนที่เต็มไปด้วยฝุ่นของปาเลสไตน์ นอนในที่ที่พอจะหาได้ และผ่านความทุกข์ทรมานรวมทั้งการถูกจับ การถูกทรมานและการตรึงกางเขน พวกเขาน่าจะพูดว่า “ไม่เคยมีใครมาหาเราโดยบอกว่าได้เห็นแสงจากท้องฟ้า แล้วเปาโลเป็นใครกันเล่า”

แต่พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น บางทีอาจจะเป็นเพราะการทรงเรียกของพระเยซูที่ว่า “จงตามเรามา” ก็เป็นที่ประทับใจพวกเขาแล้วและมีคุณค่าไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการได้เห็นแสงสว่างจากท้องฟ้า (นี่เป็นอีกหลักการบริหารหนึ่งที่เราได้เรียนจากพระเยซู นั่นคือเปลี่ยนแปลงวิธีการเกณฑ์คนเข้ามาทำงานให้เหมาะสมกับแต่ละคนที่คุณสนใจ คำพูดง่ายๆ ว่า “จงตามเรามา” นั้นเพียงพอแล้วสำหรับเปโตรซึ่งเป็นชาวประมงผู้เรียบง่ายแห่งท้องทะเลกาลิลี แต่สำหรับคนที่มีความภาคภูมิใจ มีการศึกษาสูง และเป็นฟาริสีอย่างเปาโล การถูกทำให้ล้มลงและตาบอดด้วยแสงสว่างจากท้องฟ้า จึงกลายเป็นเรื่องจำเป็น)

หลังจากข้อสงสัยและการทดสอบ ในที่สุดเปาโลก็ค่อยๆ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
อีกครั้งหนึ่ง เมื่อมีจุดสำคัญที่จะต้องเติมเต็ม จงทำทุกอย่างด้วยวิธีการที่สง่างาม เพื่อนำคนที่ดีที่สุดเข้ามาทำงาน

ประการที่สาม พระเยซูสอนเราไม่ให้มองข้ามคู่แข่งในการค้นหาคนที่ดีที่สุด เปาโลเป็นคนที่กระตือรือร้นที่สุด เสียงดังที่สุด น่ากลัวที่สุด และเป็นคนที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการต่อต้านองค์กรที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่ของพระเยซู ที่จริงแล้วเขาคือคู่แข่งคนสำคัญของพระเยซู พระเยซูทรงนำเปาโลมาทำงานกับพระองค์และทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในองค์กรที่พระองค์ทรงพายามตั้งขึ้น

เมื่อคุณจ้างคนที่มีคุณภาพจากบริษัทคู่แข่ง คุณจะประสบความสำเร็จสองประการคือ ประการแรก คุณทำให้องค์กรของอคุณเข้มแข็งขึ้น และประการที่สอง คุณทำให้คู่แข่งอ่อนกำลังลง เมื่อเปาโลเข้ามาอยู่ในคริสจักร การข่มขู่คริสตจักรก็หมดไป พระเยซูทรงเป็นนักกลยุทธ์ผู้ชาญฉลาด จงเรียนจากพระองค์


วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"เลือกผู้ร่วมงานของคุณเอง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[3]

ความผิดพลาดที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งที่คณะกรรมกาบริษัทและผู้ว่าจ้างคนเข้าทำงานได้กระทำคือ การเลือกผู้นำและสร้างภาระให้กับเขาด้วยพนักงานที่เขาไม่ได้เป็นผู้เลือก ไม่ว่าพนักงานเหล่านั้นจะดีเพียงไรก็ตาม ถ้าผู้นำไม่ได้เป็นผู้เลือกพนักงาน และถ้าพนักงานไม่ได้เป็นผู้เลือกผู้นำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือความล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ถ้าคุณต้องการให้ผู้จัดการทำงานให้คุณ คุณต้องให้เครื่องมือที่เหมาะสมกับเขา และจงจำไว้ว่าเครื่องมือที่สำคัญที่สุดของผู้จัดการคือคนที่จะทำงานกับเขานั่นเอง
ถ้าคุณกำลังพิจารณารับตำแหน่งบริหาร เงื่อนไขอย่างหนึ่งคือคุณต้องมีสิทธิ์ที่จะสร้างทีมของคุณเองทันที ถ้าผู้มีอำนาจเหนือคุณไม่ต้องการคุณมากพอที่จะให้โอกาสเช่นนั้นกับคุณ ก็อาจจะหมายความว่าเขาไม่ต้องการคุณมากพอที่จะให้คุณทำสิ่งที่สำคัญนั้น การบริหารงานเป็นเรื่องที่ยุ่งยากพออยู่แล้วโดยไม่ต้องมีพนักงานที่ “ไม่เหมาะสม” มาเป็นตัวถ่วง แรงกดดันจากภายนอกก็หนักหนาสาหัสพอแล้ว สิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการคือพนักงาน “ที่เหลืออยู่” ซึ่งเป็นคนที่รู้สึกว่าพวกเขาควรจะได้งานของคุณอย่างไม่ต้องสงสัย

จงจดจำแบบอย่างของพระเยซู เลือกคนใกล้ชิดของคุณและยินยอมให้คนที่คุณว่าจ้างมาทำแบบเดียวกัน

ถ้าคุณเป็นคนว่าจ้างคนอื่นมาทำงาน อย่าสร้างปัญหาด้วยการค้นหาและชักชวนคนที่คุณคิดว่าดีที่สุด แล้วพันธนาการเขาไว้ด้วยพนักงานที่เขาไม่ต้องการ และในทางกลับกันพวกพนักงานก็ไม่ต้องการเขา จงให้ผู้จัดการของคุณมีเสรีภาพในการเลือกคนสำคัญของเขา และนำคนเหล่านี้มาทดแทนคนที่จำเป็นต้องย้ายออกไป
ถ้าคุณกำลังพิจารณาตำแหน่งบริหาร อย่าทำลายชื่อเสียงและโอกาสในอนาคตของคุณด้วยการยอมรับตำแหน่งนั้น แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงพนักงานในปัจจุบัน มันไม่ค่อยได้ผล
แน่นอน พระเยซูทรงเลือกสาวกของพระองค์เองและทรงกระทำอย่างรอบคอบ เป็นความจริงที่ว่าหนึ่งในสิบสองคนนั้นทรยศพระองค์ แต่ผมก็ปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการเลือกพนักงานที่ถูกต้องสัก 11 คนจากการเลือก 12 ครั้ง ผมคงจะเป็นคนที่ร่ำรวยมากและประสบความสำเร็จมากกว่าที่เป็นอยู่ ประวัติศาสตร์บอกให้เรารู้ว่าพระเยซูทรงให้ความสำคัญอย่างมากกับการเลือกสาวกและถ้าคุณเข้าใจแผนการของพระองค์ คุณก็จะรู้ว่าแม้กระทั่งยูดาสผู้ทรยศพระเยซูก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการ
จงจดจำแบบอย่างของพระเยซู เลือกคนใกล้ชิดของคุณและยินยอมให้คนที่คุณว่าจ้างมาทำแบบเดียวกัน มันเป็นทางเดียวที่จะเพิ่มพูนความสำเร็จของคุณ