วอร์เรน บัฟเฟท ผู้ซึ่งเป็นตำนานของผู้ลงทุนและประธานกรรมกาของเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ วิพากษ์วิจารณ์ความเชื่องช้าของบราเธอร์โซโลมอนนการจัดการกับการขายหุ้นที่อื้อฉาวในบริษัทมากกว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเสียอีก เพราะปรากฎว่าผู้บริหารระดับสูงได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนานพอสมควรก่อนี่จะมีมาตรการแก้ไข แต่พวกเขากลับรอจนเกือบจะทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัท
ผู้บริหารที่คิดเดอร์เพียบอดี้ (ผู้ลงทุนเก่าแก่และมีชื่อเสียงของวอลสตรีท) ทำผิดพลาดเกือบจะแบบเดียวกัน นั่นคือไม่เด็ดขาดเมื่อรู้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท ดังนั้น คิดเตอร์จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ผู้บริหารทั้งสองคนควรจะเรียนรู้จากพระเยซูในการจัดการกับผู้รับแลกเงินในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงสังเกตเห็นว่ามีการเอารัดเอาเปรียบและการขูดเลือดขูดเนื้อในพระวิหารของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้เรียกประชุมกรรมการ พระองค์ไม่ได้บรรจุเรื่องลงในวาระการประชุมคณะกรรมการในครั้งต่อไป พระองค์ไม่ได้ถามความคิดเห็นคนโน้นคนนี้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร พระองค์ทรงขับไล่คนเหล่านั้นออกไปเสีย นี่คือบทเรียนที่สำคัญสำหรับผู้บริหารทุกคน
เราไม่ต้องใช้วิธีการนี้ทุกครั้งในบริษัทของเรา แต่บ่อยครั้งเรามักรีรอนานเกินไป เราเฉื่อยชาและทอดน่องโดยเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเมื่อพบและมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า “คนไม่ดีกำลังทำสิ่งที่เลวร้าย” ในบริษัทของเรา ยิ่งเราจัดการได้เร็วเท่าไรมันก็จะเป็นผลดีมากเท่านั้น
ตัวอย่างของพระเยซูนั้นทรงพลังมาก เมื่อปรากฎชัดเจนวี่การทุจริตเกิดขึ้นในองค์กรจงจัดการกับมันทันที อย่าพยายามปกปิด มันไม่ได้ผล และคนที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดมักจะถูกจัดการรุนแรงกว่าคนที่ทำผิดในตอนแรกเสียอีก การปกปิดก็คือการพยายามดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ไขได้หรือไม่ โดยไม่ต้องเร่งรีบและไม่ใช้ความรุนแรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ทั้งตัวเราองค์กรของเราย่ำแย่
แต่การจัดการทันทีและรุนแรงไม่ได้หมายความว่าเป็นคนใจจืดใจดำ การตัดสินใจของพระเยซูคือการขับไล่ผู้สร้างความวุ่นวายออกไปจากพระวิหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข่าวลือหรือการรายงานที่ยังไม่มีหลักฐาน พระองค์ทรงทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น จงรวบรวมข้อมูลเสียก่อนจึงค่อยดำเนินการอย่าหลีกเลี่ยง แต่จงจัดการทันที
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น