วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

"ปลีกตัวออกไปตามลำพัง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[12]

แม้จะมีเวลาสั้นๆ บนโลกที่พระเยซูจะทรงกระทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ แต่พระองค์ยังคงจัดเวลาสั้นๆ เพื่อปลีกตัวออกไปจากงาน

แน่นอน พระองค์ทรงมีเวลาส่วนพระองค์เพื่อการอธิษฐานและการใคร่ครวญ พระองค์ทรงบรรทม บางครั้งในขณะที่ทุกคนกำลังตื่นแต่พระองคทรงหลับ

พระองค์ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดสำหรับเราเสมอ ดูเหมือนเป็นความเฉียบแหลมและเป็นความเข้มแข็งในการคิดว่าอดทนทำไปอย่าพัก อย่าทิ้งงาน แต่ผู้บริหารที่ได้พักอย่างเต็มที่จะประสบความสำเร็จมากกว่าผู้บริหารที่เหน็ดเหนื่อยและเคร่งเครียด จงใช้เวลาพักร้อนและพักผ่อนอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเวลาที่คุณจะได้ละจากงานประจำที่สำนักงาน

โดนอล เดลล์ เพื่อนและผู้ร่วมงานของผม (ซึ่งเป็นคนที่กระฉับกระเฉงมากและเป็นผู้บริหารที่ทำงานอย่างหนักในธุรกิจของเรา) จะจัดเวลาสองสามสัปดาห์ในแต่ละปีเพื่อพักผ่อน และในระหว่างนั้นเขาจะละจากงานที่สำนักงานอย่างแท้จริง เพื่อหลีกเลี่ยง “การโทรเข้าไปเช็คงาน” เขามักจะไปในที่ๆ ไม่มีโทรศัพท์ เมื่อกลับมาทำงานเขาจะกลับมาด้วยความสดชื่น มีพลัง และพร้อมที่จะทำงานด้วยความเพลิดเพลิน เขาได้เรียนรู้ถึงประโยชน์ของการจัดตารางเวลาเช่นนี้ เช่นเดียวกับนักเทนนิสระดับโลกซึ่งเป็นหัวหน้าทีมเดวิสคัพของสหรัฐอเมริกาที่ต้องแข่งขันอย่างยาวนาน

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับคุณด้วยเช่นกัน และสำคัญสำหรับลูกน้องของคุณด้วย ผู้บริหารที่ชาญฉลาดจะต้องแน่ใจว่าในความกระตือรือร้นของพวกเขาที่จะสร้างความพึงพอใจ ความได้เปรียบ หรือการทำงานเพิ่มขึ้นอีกสักอย่าง พนักงานของเขาจะต้องไม่ฝืนตัวเองมากเกินไปจนร่างกายเหนื่อยล้า บางทีถ้าผู้บริหารระดังสูงที่ฟิเดลิตี้ได้ยืนกรานว่า ปีเตอร์ ลีนข์ ต้องใช้เวลาพักมากกว่านี้เขาอาจจะยังคงหาทุนมาเพิ่มและหารายได้ให้บริษัทนับเป็นล้านๆ ดอลลาร์ ลีนช์เป็นนักธุรกิจที่น่าประทับใจ เขาสร้างฟิเดลิตี้ให้กลายเป็นบริษัทที่ใหญ่และประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับการตกเป็นเหยื่อของกาการเหนื่อยหน่ายและไม่อยากทำงานอีก

พระเยซูทรงให้ความสำคัญกับการปลีกตัวออกมาและการใช้เวลาตามลำพัง คุณเองก็ควรจะทำเช่นนั้น




วันพฤหัสบดีที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559

"อย่าแต่งแต้มสีสันจนเกินจริง"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[11]

พระเยซูทรงบอกสาวกของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับความยากลำบากที่รอคอยพระองค์แบะพวกเขาอยู่ข้างหน้า พระองค์ไม่สัญญาว่าเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางที่สะดวกสบาย

ความคาดหวังที่ไม่มีวันเป็นจริงได้จะทำลายขวัญและกำลังของพนักงาน บางทีอาจจะมากพอๆ กับสถานการณ์เลวร้ายที่คุณสามารถคิดได้ นี่เป็นสิ่งที่มักจะถูกกล่าวถึงเกือบทุกครั้งเมื่อลูกจ้างถูกขู่ให้กลัวหรือปลดออกจากงาน “ผมคิดว่ามันต้องไม่เป็นแบบนี้” หรือ “ผมบอกแล้วว่าผมต้องทำอะไรสักอย่าง” เป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ ระหว่างการพูดคุยก่อนปลดออกจากงาน คนส่วนมากมักรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ได้เมื่อเขาถูกเตรียมให้พร้อมเพื่อเผชิญกับมัน

ในการพยายามหาคนที่น่าพึงปรารถนาเข้ามาทำงาน คุณอาจจะถูกทดลองให้แต่งแต้มสีสันจนเกินจริงเกี่ยวกับงานและบริษัทขอบคุณ อย่าทำเช่นนั้น ตรงกันข้ามคุณจะต้องนำเสนองานและบริษัทของคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้อย่างซื่อสัตย์และตรงไปตรงมา แต่อย่าให้มันเกินจริง อย่าผูกมันจนเกินไป อย่าสัญญาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ คุณอาจจะได้พนักงานคนใหม่โดยการบอกถึงสิ่งที่สวยหรูที่รอคอยอยู่ในวันข้างหน้า แต่คุณจะสูญเสียเขาไปอย่างรวดเร็วเมื่อความจริงถูกเปิดเผย

แน่นอน คุณควรจะให้คนที่คุณอยากได้มาร่วมงานเห็นความเป็นไปได้ แต่เขาก็ควรจะรู้ด้วยว่าอะไรคือข้อเรียกร้องในการที่จะไปถึงความสำเร็จนั้น คนที่คุณอยากได้เข้ามาร่วมงานจะรู้สึกประทับใจในการท้าทายนั้นและในความซื่อสัตย์ของคุณ

จงให้คนที่ทำงานกับคุณรู้ว่าอะไรที่รอคอยเขาอย่าข้างหน้า ถ้ามันคือการทำงานที่ยาวนาน การเดินทางบ่อยๆ การต้องรัดเข็มขัดจงให้พวกเขาได้รับรู้ จงให้พวกเขาก้าวออกไปรับการท้าทายนั้นนำพวกเขาไปสู่อนาคตด้วยดวงตาที่เบิกกว้างและพร้อมที่จะจัดการกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า


วันอังคารที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559

"จัดการกับการทุจริตโดยทันที"

เนื้อหาจากหนังสือ เรื่อง "การบริหารงานสไตล์พระเยซู"[10]

วอร์เรน บัฟเฟท ผู้ซึ่งเป็นตำนานของผู้ลงทุนและประธานกรรมกาของเบิร์กไชร์แฮธาเวย์ วิพากษ์วิจารณ์ความเชื่องช้าของบราเธอร์โซโลมอนนการจัดการกับการขายหุ้นที่อื้อฉาวในบริษัทมากกว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นเสียอีก เพราะปรากฎว่าผู้บริหารระดับสูงได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นนานพอสมควรก่อนี่จะมีมาตรการแก้ไข แต่พวกเขากลับรอจนเกือบจะทำความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับบริษัท

ผู้บริหารที่คิดเดอร์เพียบอดี้ (ผู้ลงทุนเก่าแก่และมีชื่อเสียงของวอลสตรีท) ทำผิดพลาดเกือบจะแบบเดียวกัน นั่นคือไม่เด็ดขาดเมื่อรู้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัท ดังนั้น คิดเตอร์จึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ผู้บริหารทั้งสองคนควรจะเรียนรู้จากพระเยซูในการจัดการกับผู้รับแลกเงินในพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูทรงสังเกตเห็นว่ามีการเอารัดเอาเปรียบและการขูดเลือดขูดเนื้อในพระวิหารของพระเจ้า พระองค์ไม่ได้เรียกประชุมกรรมการ พระองค์ไม่ได้บรรจุเรื่องลงในวาระการประชุมคณะกรรมการในครั้งต่อไป พระองค์ไม่ได้ถามความคิดเห็นคนโน้นคนนี้ว่าจะจัดการกับสถานการณ์ดังกล่าวอย่างไร พระองค์ทรงขับไล่คนเหล่านั้นออกไปเสีย นี่คือบทเรียนที่สำคัญสำหรับผู้บริหารทุกคน

เราไม่ต้องใช้วิธีการนี้ทุกครั้งในบริษัทของเรา แต่บ่อยครั้งเรามักรีรอนานเกินไป เราเฉื่อยชาและทอดน่องโดยเอามือซุกไว้ในกระเป๋าเมื่อพบและมีหลักฐานอย่างชัดเจนว่า “คนไม่ดีกำลังทำสิ่งที่เลวร้าย” ในบริษัทของเรา ยิ่งเราจัดการได้เร็วเท่าไรมันก็จะเป็นผลดีมากเท่านั้น

ตัวอย่างของพระเยซูนั้นทรงพลังมาก เมื่อปรากฎชัดเจนวี่การทุจริตเกิดขึ้นในองค์กรจงจัดการกับมันทันที อย่าพยายามปกปิด มันไม่ได้ผล และคนที่เกี่ยวข้องกับการปกปิดมักจะถูกจัดการรุนแรงกว่าคนที่ทำผิดในตอนแรกเสียอีก การปกปิดก็คือการพยายามดูว่าปัญหาที่เกิดขึ้นแก้ไขได้หรือไม่ โดยไม่ต้องเร่งรีบและไม่ใช้ความรุนแรง การกระทำเช่นนี้ทำให้ทั้งตัวเราองค์กรของเราย่ำแย่

แต่การจัดการทันทีและรุนแรงไม่ได้หมายความว่าเป็นคนใจจืดใจดำ การตัดสินใจของพระเยซูคือการขับไล่ผู้สร้างความวุ่นวายออกไปจากพระวิหาร ไม่ได้ขึ้นอยู่กับข่าวลือหรือการรายงานที่ยังไม่มีหลักฐาน พระองค์ทรงทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็น จงรวบรวมข้อมูลเสียก่อนจึงค่อยดำเนินการอย่าหลีกเลี่ยง แต่จงจัดการทันที